Categories
ข่าวกีฬา

“องค์ประกอบไม่ดี เกือบเอาตัวไม่รอด”

สรุปผลงาน ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ในเลกที่ 2 ฤดูกาล 2021/22

นับตั้งแต่ ราชบุรี ก้าวขึ้นสู่ไทยลีก 1 เมื่อฤดูกาล 2013 ปีที่แล้วถือเป็นจุดสูงสุดของสโมสรกับการไปลุย ACL รอบแบ่งกลุ่ม จากการจบอันดับ 4 ในเลกแรกของฤดูกาล 2020/21 แต่เหตุไฉนในเลกแรกของฤดูกาลนี้ ราชันมังกรกลับแปลงร่างเป็นงูดิน กับผลงานสุดดำดิ่งจนจ่อพื้นที่โซนแดง

      ในช่วงที่ ราชบุรี มีฟอร์มอันโหดเหี้ยม ตัวแปรที่สำคัญคงหนีไม่พ้นการมี 3 ประสานตัวรุกชาวต่างชาติอย่าง ล็องจิล, คาราบูเอ้ และ โบลี่ แต่เมื่อ 2 รายหลังมีอันต้องย้ายทีมไป ราชันมังกรกลับไม่สามารถหาตัวแทนได้ ดังจะเห็นได้จาก 6 เกมใน ACL ที่ประสิทธิภาพการทำประตูไม่มีความอันตรายอีกแล้ว จนเมื่อเกมลีกเริ่มออกสตาร์ท การได้ แดร์เลย์ อาจเป็นดีลที่ดี แต่ปัญหาใหญ่ คือ กองกลางที่ไม่สามารถคุมจังหวะ คุมเกม และแจกจ่ายบอลไปให้แนวรุกได้ กระทั่งหน้าเป้าต้องรับบอลจากด้านข้างหรือบอลจังหวะเก็บตกเป็นหลัก ส่วนในแผงกองหลัง การจับคู่กับของ ปวีร์ และ ปวีณวัช ถือเป็นหายนะของทีมอย่างแท้จริง เพราะทั้ง 2 ต่างเชื่องช้าตามหุ่นที่ปรากฏ อีกทั้งยังเฟอะฟะผิดพลาดง่ายๆ กลับกันมันเป็นการแจ้งเกิดแก่ กัมพล ที่ต้องออกแรงเซฟช่วยทีมเกือบทุกนัด

ทันทีที่ออกสตาร์ทเลก 2 ราชบุรี ปรับเปลี่ยนผู้เล่นเพียงเล็กน้อย และตัวกุนซือใหญ่ยังเป็น สมชาย ไม้วิลัย ซึ่งตรงจุดนี้ถือว่ากังวล เพราะสภาพทีมไม่มีความสมบูรณ์ อีกทั้งอันดับก็ไม่ห่างจากโซนแดง กระทั่งหลังเกมที่เปิดบ้านพ่าย เมืองทอง ในสภาพที่ทีมเยือนมีผู้เล่นติดโควิดค่อนทีม มันได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้บอร์ดบริหาร ต้องทำปรับตำแหน่งกุนซือ ด้วยการไปดึง บรูโน เปไรร่า กุนซือชาวโปรตุเกส เข้ามาคุมทีม โดยในช่วง 5 นัดแรกในลีก เก็บแต้มมากขึ้น พ่ายแพ้น้อยลง ทำให้อันดับขยับมาอยู่กลางตาราง แต่เมื่อหมดช่วงโปรโมชั่น ผลงานของราชันมังกรก็กลับมาเหมือนเดิม กระนั้นด้วยบุญเก่าที่เก็บสะสมมา มันก็ช่วยให้พวกเขาจบเหนือโซนแดง 6 แต้ม

      การจบอันดับ 12 ของ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี คงไม่ต้องสืบว่าหลุดจากเป้าหมายไปมากขนาดไหน โดยปัจจัยที่นำมาสู่ฤดูกาลอันแสนสาหัสนี้ คงจะไล่ตั้งแต่การเสริมตัวต่างชาติในแนวรุกที่ทนแทนตัวเก่าไม่ได้ การมีเกมรับเป็นจุดอ่อนและไม่ได้รับการแก้ไข สุดท้ายการเปลี่ยนโค้ช คือ ไพ่สุดท้ายที่ราชันมังกรใช้ แล้วยังดีที่มันได้ผลอยู่บ้าง มิเช่นนั้นพวกเขามีสิทธิร่วงลงไปลีกรองเป็นแน่

ติดตาม ข่าวกีฬา ในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : Sport lover

Categories
ข่าวกีฬา

เรื่องควรรู้ก่อนเชียร์ทีม

ในศึกรีโว่ลีกคัพ ฤดูกาล 2021/22

ปฏิทินการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศของลีกไทย กลับมาจัดการแข่งขันกันได้เหมือนเดิมอีกครั้ง หลังจากปีที่แล้วต้องตัดทัวร์นาเมนต์ลีกคัพออกไป เพื่อให้การแข่งฟุตบอลลีกและถ้วยเอฟเอคัพ มีความกระชับ ฉะนั้นในบทความนี้เราจะมาอธิบายถึงการแข่งฟุตบอลลีกคัพ ว่าในปีนี้มีรูปแบบอย่างไร เพื่อความเข้าใจที่กระจ่างชัด

      ฟุตบอลลีกอาชีพของไทย มีการแข่งขันแบบลีกและแบบถ้วยเอฟเอ ซึ่งเป็นไปตามสากลของโลกฟุตบอล กระทั่งปี 2010 ได้มีการเพิ่มถ้วยลีกคัพ ซึ่งทีมในลีกอาชีพเท่านั้นถึงจะลงเล่นได้ กระนั้นด้วยสปอนเซอร์ที่เข้ามาให้การสนับสนุน จึงเปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น โตโยต้า ลีกคัพ จากนั้นในปี 2015 ได้มีการเพิ่มสิทธิ์ให้แก่ทีมแชมป์ ด้วยการไปแข่งขันในรายการโตโยต้าแม่แม่โขง คัพ กับอีก 4 ชาติ อย่าง พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ทีมจากไทยไปแข่งขัน สามารถกวาดแชมป์มาได้ทุกทีม นั่นคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2 สมัย และ เมืองทอง ยูไนเต็ด 1 สมัย

ในฤดูกาล 2021/22 สปอนเซอร์ใหญ่ของสมาคมฟุตบอลอย่าง โตโยต้า มอเตอร์ส ไทยแลนด์จำกัด ได้มีความต้องการที่จะเปลี่ยนชื่อเพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจ ทำให้ฟุตบอลโตโยต้าไทยลีก 1 ได้เป็นชื่อเป็น รีโว่ไทยลีก 1 ส่วนฟุตบอลลำดับศักดิ์ที่ 3 อย่าง โตโยต้า ลีกคัพ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น รีโว่ลีกคัพ ส่วนในเรื่องเงินรางวัล ยังคงเท่าเดิม คือ ทีมแชมป์รับ 5 ล้านบาท

      ระบบการแข่งขันในปีนี้ จะมีรอบคัดเลือก 2 รอบ โดยในรอบแรกจะจับ 14 ทีม จากไทยลีก 3 มาคัดให้เหลือ 7 ทีม จากนั้นจะเอาไปรวมกับอีก 33 ทีม ที่ยืนรออยู่จากไทยลีก 3 เป็น 40 ทีม แล้วทำการคัดเลือกรอบที่ 2 ให้เหลือ 20 ทีม ถัดมาจะเป็นการแข่งขันรอบเพลย์ออฟ ซึ่งจะมีทีมจากไทยลีก 2 จำนวน 12 ทีม ลงแข่งขัน รวมเป็น 32 ทีม แล้วตัดให้เหลือ 16 ทีม เพื่อไปต่อในรอบ 32 ทีมสุดท้าย ซึ่งจะมีทีมจากไทยลีก 1 จำนวน 16 ทีม มาร่วมแข่งขันด้วย

การแข่งขันในรอบ 32 ทีมสุดท้าย จนถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทีมที่จับได้ก่อนจะเป็นเจ้าบ้านและยังคงแข่งขันแบบนัดเดียวจบ โดยถ้าเกิดเสมอกันใน 90 นาที จะต่อเวลาพิเศษ 30 นาที และถ้ายังไม่มีผู้ชนะก็จะตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ อย่างไรเสียเมื่อเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ จะต้องแข่งขันกัน ณ สนามกลาง ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนในรอบชิงชนะเลิศ สนามแข่งขันต้องแล้วแต่สมาคมฟุตบอล เพราะในยุคของนายกสมยศ ไม่นิยมใช้สนามศุภชลาศัยอีกต่อไปแล้ว     

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : Sport lover