Categories
ข่าวกีฬา

ชลบุรี นำห่าง 0-3 แต่เมืองทองรัว 3 เม็ดใน 20 นาที

“20 นาทีแรก” ชลบุรี นำห่าง 0-3 แต่เมืองทองรัว 3 เม็ดใน 20 นาที จนจบเจ๊า 3-3 แบบดราม่า

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 2 ของฤดูกาล ในส่วนของวันอาทิตย์ มีเกมโคตรบิ๊กแมตช์รออยู่ที่ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม ระหว่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด ในฐานะเจ้าบ้าน เปิดรังพบกับคู่แค้นร่วมชาติอย่าง ชลบุรี เอฟซี สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม กิเลนผยองมาในระบบเดิม คือ 4-1-4-1 ขณะที่ฉลามชลปรับมาเป็น 4-4-2 แบบไดม่อน

          เกมการแข่งขันในครึ่งแรก ทั้ง 2 ทีม ต่างใช้การบีบและเพรสซิ่งกันตั้งแต่กลางสนาม แต่หากให้เจาะลึกลงไปจะพบว่า เมืองทอง ออกอาการมากกว่า กล่าวคือ เมื่อเจอการบีบและเพรสซิ่งมักจะเสียบอลง่ายๆ ทำให้ผู้ที่เสียบอลยากกว่าอย่าง ชลบุรี สามารถต่อบอลขึ้นมาได้น่าหวาดเสียว กระทั่งมาได้ประตูนำ 0-1 ซึ่งในจังหวะนี้ต้องติงไลน์แมนที่ยกธงในจังหวะก่ำกึ่ง กระนั้นก็ต้องโทษผู้เล่นในแนวรับของเมืองทอง ด้วย ที่เลือกจะหยุดชะงักทั้งที่ไม่มีเสียงนกหวีด

เมืองทอง ยูไนเต็ด
เมืองทอง ยูไนเต็ด

          เกมในครึ่งหลัง เมืองทอง ยังแสดงความผิดพลาดแบบเดิมๆ แล้วเพิ่มเติมคือผิดพลาดหนักกว่าในครึ่งแรก โดยลูก 0-2 ต้องยอมเพราะความสุดยอด แต่ลูก 0-3 แนวรับกิเลนผยองยืนหลวม ไม่ตามประกบ ได้แต่เคลียร์ทิ้งและเก็บบอลจังหวะ 2 ไม่ได้ ทำให้การกดซ้ำไปซ้ำมากลายเป็นประตู 0-3 กระนั้นการผ่อนเกม

และการเปลี่ยนตัวที่ไม่สามารถทดแทนตัวจริงได้ มันได้กลายเป็นผลให้เกมของชลบุรี มีความหละหลวมในการประกบตัวจนโดนยิงไล่มา 1-3 จากนั้นฉลามชล ก็เริ่มออกอาการเมาหมัดในเกมรับ แล้วมาโดนลูก 2-3 ส่วนจุดโทษและประตูตีเสมอ 3-3 จังหวะนี้ผู้ตัดสินผิดพลาด เพราะโดนบอลก่อนและไม่ยอมเช็ค VAR

          บทสรุปจากเกม เมืองทอง ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มได้ต่ำว่ามาตรฐานราว 70 นาที แต่การเปลี่ยนตัวได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกม เพราะลงมาแล้วสามารถยกระดับเกมได้ ในขณะที่คู่แข่งเปลี่ยนแล้วแย่ลง ทำให้ในช่วง 20 นาทีที่เหลือ กิเลนผยองสามารถยิงไล่มาได้ 2 ลูก ก่อนจะได้ส้มหล่นจาการตัดสินที่ผิดพลาด ฉะนั้นจึงต้องกล่าวว่า  1 แต้ม

ในวันนี้ มาจากการแก้เกม ความมุ่งมั่น และโชคเข้ามาผสม ส่วนทางฝั่ง ชลบุรี เอฟซี ครองเกมไว้เหนือกว่าและได้สกอร์ที่ต้องการ ทำให้ในช่วง 20 นาที ขอเพียงแค่ประคองให้จบ แต่การผ่อนเกมและการเปลี่ยนตัวผู้เล่น ดันมีผลอย่างใหญ่หลวง เพราะเมื่อเปลี่ยนแล้วทดแทนตัวจริงไม่ได้ แถมยังต้องลงมาเจอกับคู่แข่งในช่วงเวลาที่พีคขึ้นพอดี อีกทั้งยังมาเจอการตัดสินที่ผิดพลาด ทำให้วันนี้กลายเป็นฝันร้ายของฉลามชล  

เมืองทอง ยูไนเต็ด
เมืองทอง ยูไนเต็ด

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

Categories
ข่าวกีฬา

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นม้ามืดในศึกไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22

ฟุตบอลไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22 จะเปิดฉากฟาดแข้งในสัปดาห์หน้าแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการเปิดฤดูกาลในทุกซีซั่น ทุกคนล้วนแต่จับจ้องไปที่ทีมเต็งก่อน ในขณะที่ทีมม้ามืดจะเป็นที่ฮือฮาก็ต่อเมื่อผลงานพุ่งแรงขึ้นมา โดยจากการสอดส่องและเฝ้าสังเกต ก็มี 4 ทีม ที่เข้าข่ายต่อการเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้      

สมุทรปราการ ซิตี้

          เขี้ยวสมุทรต้องเสียผู้เล่นตัวหลักไปหลายคนในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้หลายคนอดห่วงไม่ได้ว่าจะไหวไหม แต่กระนั้นด้วยความเป็นญี่ปุ่นและสไตล์การทำทีมที่เน้นระบบ โดยไม่พึงซุปตาร์ จึงเชื่อว่า อิชิอิ จะทำทีมให้อยู่ในทรงเดิมและอยู่บริเวณกลางตาราง แต่หากเครื่องร้อนถึงขีดสุดเมื่อไร พวกเขาอาจเป็น 1 ในทีมที่มีลุ้นตั๋วถ้วยเอเชียก็ได้

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นม้ามืด ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นม้ามืด ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22

ชลบุรี เอฟซี

          ฉลามชลยืนกล้าขาแข็งกับการใช้ตัวเยาวชนของทีมเป็นกกลุ่มผู้เล่นตัวหลัก อีกทั้งการได้โค้ชเตี้ย เข้ามา ก็ช่วยให้ระบบและทีมเวิร์คทำได้อย่างลงตัว แต่กระนั้นเมื่อช่วงครึ่งฤดูกาลหลังที่ผ่านมา การเสริมตัวต่างชาติจัดว่าล้มเหลวสุดๆ ทำให้ผลงานดรอปตามลงไปด้วย อย่างไรเสียในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเขาได้ตัวต่างชาติจากโคราชถึง 2 ราย นั่นคือ คานยุบ กับ มูริลโล่ ซึ่งการเสริมน้อยแต่เปี่ยมคุณภาพแบบนี้ จึงเชื่อว่าฉลามชลตัวนี้มีสิทธิ์สูงอย่างยิ่งที่จะเป็นม้ามืดของศึกไทยลีก 1

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นม้ามืด ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นม้ามืด ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22

เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด

          สภาพทีมที่อุดมไปดูตัวเยาวชน อีกทั้งในช่วงปิดฤดูกาลก็ไม่ได้เสริมตัวดังเข้ามา ทำให้สายตาที่เพ่งไปอาจจะน้อย แต่กระนั้นอยากให้ติดตามดูฝีมือของ มาริโอ้ ยูรอฟสกี้ ที่เป็นกุนซือใหญ่ ซึ่งเมื่อฤดูกาลก่อนแสดงให้เห็นแล้วว่าการใช้เด็กได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด หากเน้นการเล่นที่เป็นทีม อีกทั้งน่าติดตามว่าตัวต่างชาติที่มีจะช่วยยกระดับทีมได้ขนาดไหน แต่ที่แน่ๆเชื่อว่ากิเลนผยอง ปีนี้ มีลุ้นทำอันดับดีๆ ไม่ร่วงไปตารางอีกเป็นแน่

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นม้ามืด ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นม้ามืด ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22

ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

          แข้งเทพจัดเป็นราชาที่ไร้ซึ่งถ้วยรางวัลประดับบารมี เพราะในยุคของมาโน่ เคยมีแต่เกือบในฐานะรองแชมป์ ส่วนการเข้ามาของโค้ชแบน ก็ค่อยๆพา บียู ที่อยู่กลางตาราง ขึ้นมาจบอันดับที่ 5 แบบมีลุ้นตั๋วถ้วยเอเชีย ฉะนั้นในฤดูกาลใหม่นี้ โค้ชแบน ได้ทำทีมแบบเต็มสูบ แถมยังมีตัวมาเสริมอีก ทำให้สามารถมองได้ว่าแข้งเทพในปีนี้ มีสิทธิ์จะเป็นม้ามืดอีกราย ที่ก้าวขึ้นมาท้าทายทีมอื่นในกลุ่มหัวตาราง

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นม้ามืดในศึกไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นม้ามืดในศึกไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

Categories
ข่าวกีฬา

การทำทีมแบบไทยๆ แบบที่ไม่มีใครเหมือน

อุปนิสัยที่โดดเด่นของคนไทย คือ ความโอบอ้อมอารี ความเคารพต่อผู้อาวุโส  และการช่วยเหลือพวกพ้อง หรือจะเรียกในภาษาทางการว่าระบบอุปถัมภ์ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนก่อให้เกิดคติหรือแนวทางบ้างอย่าง ต่อการทำทีมฟุตบอลในไทยเหมือนกัน โดยมันจะมีอะไรบ้างและเป็นในลักษณะไหน วันนี้เราจะไปดูกัน

การเป็นพันธมิตรของสโมสรใหญ่ กับสโมสรเล็กในเครือข่าย            หากเป็นสโมสรในต่างประเทศ การจะสร้างพันธมิตรในเชิงฟุตบอลจะต้องเป็นการสร้างพันธมิตรของสโมสรฟุตบอลระหว่างประเทศ เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ หรือหากอยู่ในประเทศเดียวกัน ก็จะเป็นในลักษณะการส่งเยาวชนที่อายุยังน้อยจากศูนย์ฝึก มาขัดเกลาฝีเท้ากับสโมสรอาชีพ

แต่สำหรับฟุตบอลไทย การเป็นพันธมิตรระหว่างกันจะเกิดขึ้นระหว่างสโมสรใหญ่ในลีกสูงสุด กับสโมสรเล็กในลีกรอง โดยการสร้างพันธมิตรในลักษณะนี้ของทีมใหญ่ เป็นไปเพื่อให้นักเตะสำรองที่ไม่มีโอกาสสนาม หรือนักเตะเยาวชน ได้มีโอกาสลงสนามผ่านการปล่อยให้ยืมตัว

แต่กระนั้นในบ้างกรณีก็จัดการยกทีมเยาวชนและโค้ชไปเล่นกับทีมเล็ก เสมือนกับการเอาคนเข้าไปอยู่ในบ้านเปล่าๆหลังหนึ่งที่ไม่มีคนเลย ซึ่งหลายครั้งแฟนบอลอยากเรียกกันแบบติดตลกว่าทีมสาขา 2 เช่น เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ยกนักเตะไปเล่นกับ นครนายก เอฟซี, พัทยา ยูไนเต็ด และอุดรธานี เอฟซี หรือในกรณีของบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่มีพันธมิตรอย่าง ราชประชา เอฟซี, ขอนแก่น เอฟซี และเชียงใหม่ เอฟซี

การทำทีมแบบไทยๆ แบบที่ไม่มีใครเหมือน
การทำทีมแบบไทยๆ แบบที่ไม่มีใครเหมือน

เปลี่ยนสีเสื้อและตราสโมสร

          หากเป็นสโมสรฟุตบอลในต่างประเทศ สีเสื้อเริ่มต้นมาอย่างไร ก็จะใช้สีนั้นไปตลอด แต่ก็อาจมีบ้างที่เปลี่ยน เช่นกับตราสโมสรที่มีสัตว์ สิ่งของใดเป็นสัญลักษณ์ ก็จะใช้ไปตลอด เว้นเสียการปรับปรุงให้ดูทันสมัย แต่สำหรับฟุตบอลไทยแล้ว ทุกอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

โดยเฉพาะทีมในลีกรองและรากหญ้า ที่บางทีมเปลี่ยนเฉดสี หรือเปลี่ยนไปเลยตามความชอบ จนไม่สามารถทราบได้แล้วว่าทีมนั้นๆมีสีอะไรเป็นสีหลัก เช่นเดียวกันกับตราสโมสร ที่การเปลี่ยนแปลงมักต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง อาทิ การท่าเรือ เอฟซี ที่เป็นรูปสมอ โลมา สิงโต และม้า

ซึ่งนี่ยังไม่นับสโมสรในลีกรองและลีกรากหญ้า ที่บ้างครั้งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนเกิดความสับสนว่านี่คือทีมน้องใหม่หรือเปล่า

          จากที่นำมาเล่าในวันนี้ มันสามารถสะท้อนให้เห็นถึงอุปนิสัยที่เป็นราเหง้าของคนไทย ซึ่งมันก็มีข้อดีอยู่ แต่มันก็ตามมาพร้อมกับข้อเสียอีกมากมาย เช่น การทำระบบพันธมิตรแบบทีมใหญ่สนับสนุนทีมเล็ก มันจะทำให้รากของฟุตบอลไทยไม่พัฒนา

ขณะที่ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์สำคัญของทีมบ่อยๆ มันก็จะเป็นการบั่นทอนแฟนบอลจนไม่รู้สึกอินไปกับทีม เหมือนเช่นที่ฟุตบอลต่างประเทศเป็น    

การทำทีมแบบไทยๆ แบบที่ไม่มีใครเหมือน
การทำทีมแบบไทยๆ แบบที่ไม่มีใครเหมือน

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

Categories
ข่าวกีฬา

ทำไม มุ้ย ถึงล้มเหลวทุกครั้งเมื่อออกไปเล่นต่างแดน

ธีรศิลป์ แดงดา จัดว่าเป็นผู้พรสวรรค์สูงคนหนึ่งที่ทีมชาติไทยเคยมีมา โดยความยอดเยี่ยมที่มีอยู่เต็ม 2 แข้ง จึงทำให้ได้รับโอกาสไปอยู่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้  ในยุคที่ คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ แต่ด้วยวัยที่เด็กเกินไป จึงไม่แปลกนักที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเจ้าตัวโตขึ้น พร้อมกับประสบการณ์ที่ที่เพิ่มพูนเป็นเงาตามตัว โอกาสก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา ไล่

ตั้งแต่ แอตเลติโก มาดริด, อัลเมเรีย, ซานเฟเซ่ ฮิโรชิม่า และ ชิมิสึ เอสพัลส์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลกลับไม่มีครั้งไหนที่พูดได้เต็มปากว่า มุ้ย ธีรศิลป์ ประสบความสำเร็จร่วมกับทีมนั้น ซึ่งมันค่อนข้างตรงกันข้ามกับ เจ ชนาธิป หรือธีราธร ที่ได้โอกาสทีหลังและไม่กี่ครั่ง แต่กลับประสบความสำเร็จแบบจับต้องได้ ซึ่งอะไร คือ สาเหตุที่ทำให้ มุ้ย ไม่ประสบความสำเร็จยามค้าแข้งต่างแดน นับจากนี้เราจะไปวิเคราะห์กัน

อุปนิสัยส่วนที่พูดน้อย มุ้ย ธีรศิลป์ เป็นคนที่มีบุคลิกพูดน้อย เว้นเสียแต่การอยู่กับคนสนิท หรือนักฟุตบอลไทยด้วย ที่พูดคุยได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเฮฮาและสนุกสนานเหมือน เจ ชนาธิป ซึ่งบุคลิกเช่นนี้ย่อมไม่เป็นปัญหาสำหรับการค้าแข้งในไทย เพราะมองตาก็รู้ใจ อีกทั้งภาษาก็ภาษาเดียวกัน

แต่การไปค้าแข้งต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป แน่นอนว่าแข้งสัญชาติไทยที่มาจากเอเชีย ยังไม่เป็นที่ยอมรับ หากเทียบกับ ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำ คือ การเข้าหาเพื่อนร่วมทีม เพื่อพังทลายความไม่ยอมรับทิ้ง ฉะนั้นหากเข้าหาเพื่อนร่วมทีมมากเท่าใด มันก็จะส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตและผลงานในสนาม แต่ถ้าเกิดพูดน้อยและไปอยู่ต่างถิ่น แล้วไม่พูดเลย มันก็จะยากยิ่งสำหรับการปรับตัวและเล่นร่วมกับทีม

ทำไม มุ้ย ถึงล้มเหลวทุกครั้งเมื่อออกไปเล่นต่างแดน
ทำไม มุ้ย ถึงล้มเหลวทุกครั้งเมื่อออกไปเล่นต่างแดน

ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่กระตือรือร้น

การเล่นอยู่ในประเทศไทย มุ้ย ได้รับเงินเดือนหลายแสนบาท ซึ่งแน่นอนว่าเงินจำนวนนี้มันมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและครอบได้แบบสบายๆ นั่นจึงทำให้เจ้าตัวไม่เคยหลุดปากออกมาว่าอยากไปค้าแข้งต่างประเทศแบบจงหนัก โดยสโมสรที่ มุ้ย ไปสังกัด ล้วนแต่เกิดจากการดีลระหว่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กับสโมสรนั้นๆ ด้วยสัญญายืมตัว ฉะนั้นในเมื่อสโมสรต้องการส่ง มุ้ย ไป เจ้าตัวก็ยินยอมที่จะไป

แต่การไปอยู่กับ สโมสรอื่นๆในต่างแดน หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ธีรศิลป์ แดงดา อยู่ที่ไหนได้ไม่เกิน 1 ปี ไล่ตั้งแต่ อัลเมเรีย ที่กลับไทยตอนเลก 2 ส่วน ซานเฟเซ่ ฮิโรชิม่า และชิมิสึ เอสพัลส์ อยู่ครบ 1 ปีพอดี แล้วจากการค้าแข้งกับ 3 สโมสรนี้ มุ้ย ได้ลงเป็นตัวจริงน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่มักถูกจับนั่งสำรองและถูกเปลี่ยนลงมา

จากนั้นเมื่อใดถ้าเจ้าตัวถูกจับนั่งสำรองนานๆ ก็จะมีเริ่มมีข่าวว่าเจ้าตัวไม่มีความสุขและต้องการกลับไทย โดยสิ่งที่จริงและชัดเจน คือ นักฟุตบอลทุกคนไม่มีความสุขแน่หากต้องนั่งสำรองนานๆ แต่ถ้าต้องการเป็นตัวจริง ก็ต้องพัฒนาฟอร์มของตัวเองให้ดีจนโค้ชเห็นและไว้ใจ ตรงข้ามกับกรณีของ มุ้ย ธีรศิลป์ ที่เกิดความรู้สึกประมาณว่า ฉันเก่งในแบบของฉัน ฉันพยายามที่สุดในแบบของฉัน หากไม่ได้ลงฉันจะไม่พัฒนาเพิ่ม แต่เลือกจะกลับไทยแทน

ทำไม มุ้ย ถึงล้มเหลวทุกครั้งเมื่อออกไปเล่นต่างแดน
ทำไม มุ้ย ถึงล้มเหลวทุกครั้งเมื่อออกไปเล่นต่างแดน

จากที่นำมาเล่าและวิเคราะห์นี้  ไม่ได้มีเจตนาว่าร้ายต่อตัวนักเตะแต่อย่างไร หากแต่ต้องการนำเสนอเพื่อนักเตะรุ่นน้องได้เห็น ว่าการไปค้าแข่งต่างประเทศต้องทำอย่างไร ถึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ เพราะสำหรับบางคนอาจไม่ได้รับโอกาสมากมายหลายหนเหมือนที่ ธีรศิลป์ แดงดา ได้รับ

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

Categories
ข่าวกีฬา

ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

อย่างที่เราทราบกันดีว่าแชมป์ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2020/21  ตกเป็นของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ซึ่งจะว่าไปก็นับเป็นเรื่องเซอร์ไพร์สเล็กๆ แม้กระต่ายน้ำเงินครามจะเป็นทีมที่ใหญ่ แต่ก็คงไม่มีใครคิดว่าจะไปถึงแชมป์ ฉะนั้นวันนี้เราจะไปย้อนดูเส้นทางตลอดซีซั่นนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

บีจี ปทุม ยูไนเต็ด กลับขึ้นมาสู่ไทยลีก 1 อีกครั้ง หลังจากตกชั้นลงไปเล่นลีกรอง 1 ปี โดยตำแหน่งเฮดโค้ชยังเป็น ดุสิต เฉลิมแสน ขณะที่การเสริมตัวผู้เล่นใหม่ก็ไม่จัดว่าว้าวแต่อย่างใด ส่วนการออกสตาร์ท 4 นัดแรกของฤดูกาล เก็บได้ 10 คะแนน จากการ ชนะ 4 เสมอ 1 ซึ่งถือว่าทำผลงานได้เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ แต่แล้วด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มทวีความรุนแรง ทำให้สมาคมฟุตบอลสั่งเบรกการแข่งขัน

ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

ในช่วงที่พักเบรกการแข่งขันนานกว่าครึ่งปี  หลายทีมมีการปรับเปลี่ยนโควตาต่างชาติ รวมถึงการปล่อยผู้เล่นที่ค่าเหนื่อยสูงเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินไว้ ซึ่งตรงจุดนี้ บีจี ปทุม  ยูไนเต็ด สวมวิญญาณกระต่ายมือไวด้วยการฉกตัวผู้เล่นชื่อดังมาร่วมทีม ได้แก่ สารัช อยู่เย็น กับ อังเดร ตูเญช ซึ่งเมื่อนำมารวมกับที่มีอยู่ก่อนแล้ว มันก็ยิ่งทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นไปอีก

ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

การแข่งขันนัดที่ 5-15 กลับมาแข่งในเดือนกันยายน  โดยนัดประเดิมการรีสตาร์ทต้องออกไปเยือนทีมเต็งลุ้นแชมป์อย่าง การท่าเรือ เอฟซี แล้วในนัดนั้นบุกไปชนะได้ 1-0  จากนั้นต้องพบกับทีมใหญ่แบบรัวๆ คือ ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งสามารถเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด ทำให้ตอนนั้นก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง พร้อมกับมี การท่าเรือ เอฟซี ตามจี้หลัง

ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เล็งเห็นแล้วว่าทีมมีปัญหาในเรื่องเกมรุก ทำให้เลกที่ 2  มีการเสริมกองหน้า 2 ราย ซึ่งชื่อชั้นนับได้ว่าเป็นระดับพระกาฬทั้งสิ้น ได้แก่ ติอาโก้ หลุยส์ซานโต กับ ธีรศิลป์ แดงดา โดยการเสริมแนวรุกครั้งนี้สภาพทีมจึงแข็งแกร่งทั่วแผ่น ทำให้การแข่งขันที่เหลืออีกกว่าครึ่งทาง กระต่ายน้ำเงินครามมีผลงานร้อนแรงไม่เลิกรา ในขณะที่คู่แข่งอย่าง การท่าเรือ เอฟซี สะดุดแบบรัวๆ กระทั่งช่องว่าง 4 แต้ม ขยายเป็น 20 ในไม่กี่สัปดาห์

ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

เกมการแข่งขันเดินทางมาถึงนัดที่ 24 บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็สามารถการันตีตำแหน่งแชมป์ได้สำเร็จ เพราะคู่แข่งอย่าง การท่าเรือ เอฟซี สะดุดจนกู่ไม่กลับ อีกทั้ง สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด และราชบุรี เอฟซี ก็ดันทำแต้มหล่นตลอดรายทาง ขณะที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นรถด่วนที่กระโดดจากท้ายขึ้นมาจบที่ 2 อย่างไรเสียแม้ว่าจะการันตีตำแหน่งแชมป์ แต่กระต่ายน้ำเงินครามก็ยังมองถึงการทำสถิติเป็นแชมป์ไร้พ่ายทีมที่ 3

ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ได้ฉลองการรับถ้วยอย่างยิ่งใหญ่ในนัดที่ 29 (พบกับ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี) ส่วนในนัดสุดท้ายต้องบุกไปเยือน เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ถิ่นอาถรรพ์ที่ไม่เคยชนะ แต่เป็นคำตอบสุดท้ายว่าจะการทำสถิติไร้พ่ายหรือไม่ อย่างไรก็ตามด้วยอาถรรพ์ที่รุนแรง กระต่ายน้ำเงินครามมิอาจต้านทานไหว สุดท้ายพ่ายไป 1-0 อดทำสถิติเป็นแชมป์แบบไร้พ่าย

ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
ย้อนเส้นทางสู่แชมป์ไทยลีกชอง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com