Categories
ข่าวกีฬา

สรุปภาพรวมของเหล่าทีมชาติ

ที่ตกรอบแรก ในศึก AFF SUZUKI CUP 2020 กลุ่ม A

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 เดินทางมาถึงมาถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งตามหน้าสื่อเราอาจทราบถึงสภาพของทีมที่ผ่านเข้ารอบมา แต่ในทางกลับกัน 3 ทีม ที่กลับบ้านไปก่อน ล้วนมีข้อมูลค่อนข้างน้อย ฉะนั้นในบทความนี้ จะพาไปดูสภาพทีมของทั้ง 3 ชาติ จากกลุ่ม A ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

ทีมชาติติมอร์ เลสเต

แซมบ้าน้อย คือ ทีมที่ได้บายในรอบคัดเลือก โดยตลอดการเล่น 4 นัด พวกเขาเน้นการตั้งรับเพื่อหวังเก็บ 1 แต้ม แต่ด้วยศักยภาพที่ด้อยกว่าทุกชาติ ทำให้ป้องกันยังไงก็โดน เช่นกันกับการต่อบอลบุกที่ได้แค่โยนยาวแล้ววิ่งวัด นอกจากนี้ในเรื่องสภาพร่างกายก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ต้องมีหมุนเวียนนักเตะ ฉะนั้นอย่างได้แปลกใจ ว่าทำไมเกมที่แพ้ ฟิลิปปินส์ ถึงแพ้ยับเยินถึง 7-0 ส่วนเกมที่ดูจะสูสีที่สุด ก็น่าจะเป็นการพบกับ เมียนมาร์ แต่สุดท้ายก็พ่ายไป 0-2  

ทีมชาติเมียนมาร์

ประเทศมีปัญหาการเมืองภายใน จนไม่สามารถแข่งขันฟุตบอลลีกได้ อีกทั้งตัวผู้เล่นหลักก็อารยะขันขืนด้วยการไม่มาเล่นให้ ซึ่งนั่นทำให้ศักยภาพของทีมลดลงแน่นอน สุดท้าย อองตวน เฮย์ ต้องเรียกนักเตะสำรองและหน้าใหม่ในประเทศมาติดทีม ส่วนการเตรียมทีมเหมือนจะดูดี

เพราะมีการบินไปเก็บตัวและอุ่นเครื่องที่ตุรกี แต่พอเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ เหล่านักเตะสิงห์พุกาม ก็ไม่ได้แข็งแกร่ง หรือมีทีมเวิรค์ มิหนำซ้ำความฟิตก็จัดว่าต่ำ ทำให้การเก็บตัวนานนับแรมเดือนแทบจะไร้ประโยชน์ อีกทั้งตลอด 4 นัด ก็ชนะไปแค่นัดเดียว เหนือ ติมอร์  

ทีมชาติฟิลิปินส์

นักเตะของทีมชุดนี้ เล่นอยู่ในไทยลีกหลายราย อีกทั้งยังมีตัวผสมจากลีกในยุโรป และอยู่ภายใต้การดูแลของ สก็อต คูเปอร์ ทำให้พวกเขากลายเป็นตัวเต็งที่จะเบียดลุ้นเข้ารอบ กระนั้นโปรแกรมการแข่งขันอาจไม่ค่อยเป็นใจให้เท่าไร เพราะนัดแรกต้องเจอกับคู่ขับเคี่ยวโดยตรงอย่าง สิงคโปร์ แล้วดันพ่ายแพ้ อย่างไรเสียการเจอ ติมอร์ และไทย ก็ได้เอื้อประโยชน์ให้พวกเขาเก็บตัวหลักไว้บดกับทัพช้างศึก

ซึ่งมันก็เกือบจะได้ผลกับการได้แต้ม แต่ดันมาเสียจุดโทษและพ่ายแพ้ไป โดยการตกรอบของขุนพลตากาล็อก ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ต้องจบเส้นทางอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ตัวผู้เล่นมีคุณภาพ แต่หากดูถึงรูปทรงของเกมอย่างละเอียด เกมรุกของพวกเขาไม่หลากหลายพอที่จะสู่กับทีมชั้นนำได้เลย

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : Sport lover

Categories
ข่าวกีฬา

สรุปภาพรวมของเหล่าทีมชาติ

ที่ตกรอบแรก ในศึก AFF SUZUKI CUP 2020 กลุ่ม B

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 การสลากในสาย B ถือได้ว่าเป็นการรวมแหล่งของชาติยักษ์และทีมที่กำลังพุ่งแรงขึ้นมา นั่นจึงทำให้การชิงพื้นที่ 2 อันดับแรก เพื่อไปต่อในรอบรองชนะเลิศ ต้องลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้าย ซึ่งในบรรดาทีมที่ต้องกลับบ้านไปก่อน จะเป็นใครและมีสภาพเป็นอย่างไร บทความนี้จะมาอธิบายให้เห็นภาพอย่างละเอียด

ทีมชาติลาว

ขุนพลพันธุ์ข้าวเหนียว ปกติจะเป็นทีมไม้ประดับให้คนอื่นได้ไล่ถล่ม แต่ในหนนี้ดูจะเห็นลู่ทางที่ดีรออยู่ แม้จะถูกจับมาอยู่สายหนักก็ตาม เพราะมีถึง 3 ราย ที่เล่นอยู่ในลีกไทย อีกทั้งยังได้ตัวระดับพรีเมี่ยมอย่าง บิลลี่ เกตุแก้ว พิมพอน กลับมารับใช้แผ่นดินเกิด พร้อมกับตัวเยาวชนที่ทำผลงานได้ดี กระนั้นพอการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น แนวรับของทีม คือ ปัญหาใหญ่ มิหนำซ้ำยังมีประเด็นดราม่าผ่านโซเชียล ระหว่างกัปตันทีมอย่าง สุอาพอน วงเชียงคำ กับ สมาพันธ์ฟุตบอล จนทำให้ 2 นัดสุดท้าย มีการจับดองเจ้าตัวและผลงานของทีมก็รูดลงเหวด้วยความพ่ายแพ้รวด 4 นัด เป็นบ๊วยของกลุ่ม

ทีมชาติกัมพูชา

ปกติ กัมพูชา คือ ชาติที่เป็นของหวานของชาวอาเซียน เพราะเจอเมื่อไร ยังไงก็ถล่มได้สบาย ทำให้การเข้ามาคุมทีมของแข้งจอมพเนจรสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง เคนสึเกะ ฮอนดะ ถูกจับตาว่าจะพาชาติที่ไม่มีเกียรติยศใดๆเกี่ยวกับฟุตบอลไปได้ไกลขนาดไหน ซึ่งในทันทีที่ลงสนาม ขุนพลแดนหมื่นปราสาทก็ได้โชว์ให้เห็นการเล่นที่เป็นระบบระเบียบและมีสภาพจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ตามแบบฉบับญี่ปุ่นสไตล์ กระนั้นหากพูดถึง สปีดบอล ทักษะขั้นพื้นฐาน และความฟิตในการวิ่งเพรสซิ่ง มันยังไม่พัฒนาไปมากเท่าที่ควร ทำให้ในการแข่งขันครั้งนี้ พวกเขาชนะไป 1 นัด จากการชนะลาว 0-3 ส่วนนัดที่ประทับใจก็มีให้เห็น อาทิ นัดที่แพ้ อินโดนีเซีย 2-4  

ทีมชาติมาเลเซีย

ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น พวกเขาได้ตั้งเป้าถึงการคว้าแชมป์ เพราะในการแข่งขันหนก่อน หรือก่อนหน้านั้น พวกเขามักเข้าถึงรอบชิงอยู่เรื่อยๆ แต่จากปัญหาการเรียกตัวนักฟุตบอล การแพร่ระบาดโควิด-19 ในทีม และการทำทีมของ ตัน เชง โฮ ที่เมื่อหมดมุกเมื่อไร ก็ใช้การสาดโด่งโต้งๆอย่างเดียว หรือการจัดตัวที่ขัดใจแฟนบอลอยู่เนืองๆ ซึ่งสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลนี้ได้ผสมปนเปกัน กระทั่งทำให้ฮารีเมามาลายาต้องตกขบวนและตกรอบแรกไป

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : Sport lover

Categories
ข่าวกีฬา

ตัดเกรดผู้เล่นทีมชาติเวียดนาม

ในเกมประเดิมทัพพ่ายของ พาร์ค ต่อ ไทย 0-2 นัดแรก

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ทีมชาติเวียดนาม ที่เป็นเต็งแชมป์ แต่ดันเข้ารอบมาเป็นที่ 2 ของกลุ่ม B เพราะประตูได้เสียแพ้ ทีมชาติอินโดนีเซีย นั่นจึงทำให้ขุนพลดาวทอง ต้องโคจรมาพบกับคู่ปรับสำคัญอย่าง ไทย ตั้งแต่รอบนี้ กระนั้นความผิดพลาดในช่วงต้นเกม ได้ส่งผลให้ลูกทีมของ พาร์ค ฮัง-ซอ ต้องพ่ายแพ้ 0-2 แล้วต้องไปลุ้นเหนื่อยในนัดที่ 2 โดยผู้เล่นที่ลงสนามในเกมนี้ ใครจะได้เกรดเท่าไรบ้าง นับจากนี้เราจะได้ทราบกัน

ตรัน เหงียน มานห์ (7 คะแนน)

      2 ประตู ที่เสียไป ถือว่าสุดวิสัยและทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังแล้ว นอกจากนี้ยังไม่หลงและเซฟลูกโทษของ ชนาธิป ไม่ให้ทีมเสียเปรียบไปมากกว่านี้  

โด ดุย มานห์ (6 คะแนน)

      ยืนปักหลักช่วยทีมไว้ได้หลายครั้ง แต่ก็มีหลายจังหวะที่เข้าหนัก รวมถึงเข้าพรวดจนทีมเสียจุดโทษ ก่อนที่สุดท้ายจะเจ็บไหล่และต้องเปลี่ยนตัวออกไป  

เกว ง็อค ไฮ (6 คะแนน)

       เป็นกองหลังที่ใช้การเล่นหนักและนอกเกมบ่อย กระนั้นยังโชคดีที่ไม่โดนไม่แม้แต่ใบเหลือง

เหงียน ธานห์ ชุง (7 คะแนน)

      เล่นได้ดีและเก็บเกมริมเส้นในแดนลึกของไทยได้อยู่หมัด   

วู วาน ธานห์ (5 คะแนน)

      โดน ธีราทร เผาหลายหน แล้วเมื่อไรที่แย่งบอลไม่ได้ ก็จะใช้การเตะตัดฟาวล์หนักๆเข้าใส่

เหงียน ฮวง ดึค (7 คะแนน)

พลังหนุ่มของเจ้าตัว พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะช่วยดันเกมบุก แต่มันก็ไม่มากพอที่จะเปลี่ยนเกมได้    

เหงียน ตวน อันห์ (6 คะแนน)

      ความเก๋ามิอาจช่วยทีมได้มากนัก เพราะเมื่อเจอการจ่ายบอลที่รวดเร็วของไทย หลายหนก็เลือกที่จะตัดเกมด้วยการฟาวล์หนักๆ สุดท้ายถูกเปลี่ยนตัวออกอย่างรวดเร็ว เพราะทีมต้องการเติมแนวรุก  

 เหงียน ฟง ฮง ดุย (5 คะแนน)

       บอลไหลมาแบบไม่อะไร แต่เจ้าตัวดันลื่นจนบอลลอดขาและเสียประตู ซึ่งความผิดพลาดในครั้งนี้ ได้ส่งผลให้รูปเกมต้องเปลี่ยนไป จนสุดท้ายทีมต้องพ่ายแพ้

 เหงียน กวง ไฮ (8 คะแนน)

      ฟอร์มโดดเด่นที่สุดในทีม แต่วันนี้ไม่ใช่วันของแนวรุกจาก ฮานอย เอฟซี อย่างแท้จริง เพราะการยิงไกลที่เป็นจุดเด่น โดนทั้งเสาและคาน รวมถึงการแทงบอลให้เพื่อนก็มีโอกาสได้จบหลายหน แต่เพื่อนดันยิงไม่เข้า   

เหงียน คอง เฟือง (5 คะแนน)

      ศูนย์หน้าจาก ฮองอันห์ ยาลาย เงียบและโชว์ฟอร์มไม่ออกเลย เพราะเมื่อไรที่ได้จับบอล ก็จะถูกแนวรับของไทยเข้าประชิดตัวอย่างน้อย 1-2 คน สุดท้ายโดนเปลี่ยนตัวออกกลางครึ่งหลัง 

 เหงียน วาน ตวน (5 คะแนน)

      ถูก กฤษดา ลักพาตัวไปจากเกม กระทั่งมาเห็นหน้าอีกที คือ ถูกถอดออกในช่วงพักครึ่ง

เงวียน เตี๋ยน ลิญ (5 คะแนน)

      ได้บอลน้อย ส่วนโอกายิงเหน่งๆมี 1 ครั้ง จากการจ่ายแทงของ กวง ไฮ แต่เจ้าตัวดันยิงบดและเบาจนหลุดเสาไกลออกไป

ฟาน วัน ดิ๊ก (6 คะแนน)

      ลงมาแล้วขับเคลื่อนเกมแดนกลางดี แต่ไม่โดดเด่นนัก

ห่าน ดิ๊ก จิง (5 คะแนน)

      ลงมาแล้วก็เงียบไม่ต่างไม่กับตัวที่ออกไปอย่าง คอง เฟือง

โฮ เติ๊น ต๋าย  และ ฝั่ม ซวน หมั่ญ (ไม่มีคะแนน)

      ทั้ง 2 ราย ลงมาเพื่อเติมความสด และทดแทนตัวที่เจ็บช่วงท้ายเกม ซึ่งการสัมผัสบอลไม่กี่ครั้ง ทำให้ไม่มีคะแนน  

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

Categories
ข่าวกีฬา

ทีมชาติมาเลเซีย

ความล้มเหลวของทีมชาติมาเลเซีย อยู่ที่ตรงไหน ?

การแข่งขันฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 เสร็จสิ้นการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มไปเป็นที่เรียบร้อย โดยการเบียดแย่งกันเข้ารอบของสาย B ทีมชาติอินโดนี การแข่งขันฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 เสร็จสิ้นการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มไปเป็นที่เรียบร้อย โดยการเบียดแย่งกันเข้ารอบของสาย B ทีมชาติอินโดนีเซีย เซีย และ ทีมชาติเวียดนาม คือ 2 ชาติ ที่ได้ไปต่อ ส่วนยักษ์ใหญ่ที่โชคร้ายอย่าง ทีมชาติมาเลเซีย ต้องตกรอบ ทั้งๆที่ตอนแรกวางเป้าหมายไว้ถึงแชมป์ กระนั้นอะไรเป็นสาเหตุให้ ฮารีเมามาลายา ต้องจบเส้นทางอย่างรวดเร็ว บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์กัน   

โปรแกรมฟุตบอลในประเทศ

      โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลลีก เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ในเกมนัดชิงฟุตบอลถ้วยระหว่าง สมาคมดันเคลียร์กับฝ่ายจัดไม่ลงตัว ทำให้ตัวผู้เล่นจาก ยะโฮร์ ดารูทักซิม ต้องเข้าแคมป์ช้ากว่าเพื่อน ซึ่งตรงจุดนี้ ตัน เชง โฮ เลือกที่จะเรียกนักเตะที่ไม่มีภารกิจกับสโมสรมาเข้าแคมป์ทีมชาติก่อน ส่วนนักเตะจากพยัคฆ์แดนใต้ ก็เลือกเฉพาะรายที่ร่างกายยังสดๆเท่านั้น อีกทั้งยังเลือกนักเตะมาไม่ครบ 30 คน ตามโควต้าอีกด้วย  

นักเตะถอนตัว – ติดโควิด

      การเรียกนักเตะเข้าสู่แคม์ทีมชาติ มีหลายรายที่ขอถอนตัว ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ปัญหาที่จะอ้างได้ เพราะชาติอื่นๆก็ประสบปัญหานี้ แต่ที่ดูจะหนักหนาสาหัส คือ การเสียผู้เล่นจากการติดเชื้อโควิด-19 อีกทั้งมันดันมาประจวบเหมาะกับเกมสำคัญที่จะต้องพบกับ เวียดนาม ซึ่งสุดท้ายก็ตามสภาพ คือ แพ้ไป 0-3  

การทำทีมของโค้ช

      การเข้ามาทำทีมชาติมาเลเซียชุดใหญ่ ของ ตัน เชง โฮ เกียรติยศสูงสุด คือ การคว้ารองแชมป์ SUZUKI CUP 2018 อย่างไรเสียหากดูจากทรงบอลที่ทำมาตลอด 4 ปี มันไม่เห็นถึงทีมเวิรค์ หรือทรงบอลที่จะต่อยอดได้ โดยอย่างที่แข่งขันไปล่าสุด มันก็มีเพียงการโจมตีจากปีก แล้วเมื่อไรที่หมดมุกและคิดอะไรไม่ออก ก็จะโยนยาว ฉะนั้นหากให้อยู่คุมทีมต่อ มันคงจะไม่มีอะไรที่ดีกว่าที่เห็น นอกจากนี้การเปลี่ยนตัวและการเลือกตัวผู้เล่นมาติดทีมในทัวร์นาเมนต์นี้ แฟนบอลฮามารีเมามาลายาก็ได้ตั้งคำถามไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเรียกตัวนักเตะจากยะโฮร์ ซึ่งแม้จะรู้ดีว่านักเตะอาจมีสภาพร่างกายที่อ่อนล้า แต่ก็อย่าลืมว่านัดแรกและนัดที่สอง พวกเขาเจอของเบาอย่าง ลาว และ กัมพูชา ฉะนั้นตัวหลักสามารถเก็บไว้บดใส่ เวียดนาม และ อินโดนีเซีย ในนัดที่ 3-4 ได้ ฉะนั้นการตัดสินของโค้ชจึงผิดพลาด

      นับจากนี้สมาคมฟุตบอล จะทำการประเมินผลงานแบบองค์รวมของทีมชาติ และการทำงานของ ตัน เชง โฮ ซึ่งมันควรออกมาในหน้าของการปรับเปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าโค้ช เพราะหากสอดส่องชาติอื่นๆ ที่ศักยภาพใกล้เคียงกันอย่าง เวียดนาม หรือ อินโดนีเซีย การดึงโค้ชที่มีศักยภาพสูงช่วยแก้วิกฤตได้ พร้อมกับแปรเปลี่ยนให้ทีมมีทรงและผลงานดีขึ้น ฉะนั้นหาก มาเลเซีย อยากหาลู่ทางกลับมาเป็นเสือแห่งอาเซียน โมเดลที่ว่ามาก็นับเป็นเวย์ที่น่าสนใจสำหรับการลอกเลียนแบบ

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่  livethaileague.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

Categories
ข่าวกีฬา

“ปาร์ค ฮัง-ซอ “

การเดิมพันที่สูงลิบของ ทีมชาติเวียดนาม และ ปาร์ค ฮัง-ซอ

หาก โฮจิมินห์ คือ วีรบุรุษตลอดกาลของชาติ ปาร์ค ฮัง-ซอ ก็คงเป็นวีรบุรุษสำหรับฟุตบอลเวียดนามเหมือนกัน เพราะนับตั้งแต่กุนซือชาวเกาหลีใต้ผู้นี้เข้ามาคุมทีม ทัพดาวทองก็ดีดตัวเองขึ้นมาเป็นมหาอำนาจลูกหนังแห่งภูมิภาคอาเซียน พร้อมกับการขึ้นไปเชิดหน้าชูตาในระดับเอเชีย แต่สำหรับปัจจุบัน กุนซือชาวเกาหลีใต้กำลังอยู่ในช่วงขาลง แล้วถ้าในศึก AFF SUZUKI CUP 2020 หนนี้ พวกเขาไปไม่ถึงแชมป์แล้วละก็ มันคงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ทีมชาติเวียดนาม ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

หากย้อนกลับไปก่อนที่ ปาร์ค ฮัง-ซอ จะเข้ามา ทีมชาติเวียดนาม อยู่ในสภาพที่ร้างลาจากความสำเร็จมานาน อีกทั้งต้องล้มเหลวกับกุนซือหลายคน แต่พอกุนซือชาวเกาหลีใต้เข้ามา ทีมชาติเวียดนาม สามารถคว้าแชมป์ AFF SUZUKI CUP 2018 เป็นสมัยที่ 2 และคว้าเหรียญทองซีเกมส์ เป็นหนแรกตั้งแต่รวมประเทศ ส่วนในระดับเอเชีย พาทีมชุด U-23 คว้ารองแชมป์เอเชีย และพาทีมชุดใหญ่เข้ารอบ 12 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย เป็นครั้งแรก ซึ่งจากที่ไล่เรียงมาราว 4 ปี ปาร์ค ฮัง-ซอ ได้แปลงโฉมทัพดาวทองค่อนข้างมากทีเดียว เพราะอะไรที่เคยเหินห่าง ก็ได้กลับมา ส่วนอะไรที่ไม่เคย ก็พาไปให้ได้สัมผัส  

การได้ผ่านเข้าไปเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย เป็นครั้งแรก แน่นอนว่า ลุงปาร์คและนักเตะรู้ดีว่าเป็นรองทุกทีม ฉะนั้นเป้าหมายของพวกเขา คือ เก็บแต้มให้ได้มากที่สุด แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีแม้แต่คะแนนเดียว นั่นจึงทำให้สถานการณ์ของทีมเริ่มกดดันหนักขึ้น อย่างไรเสีย ฟุตบอลAFF SUZUKI CUP 2020 ในหนนี้ ก็เปรียบเสมือนระฆังพักยกชั้นดี ที่จะเรียกสติและความมั่นใจกลับมาหากคว้าแชมป์ได้ ซึ่งพวกเขาเลือกที่จะเดิมพันขั้นสูงด้วยการตัดจบฟุตบอลวีลีกตั้งแต่เดือนสิงหาคม เพื่อให้ทีมชาติได้มีเวลาซ้อม โดยอีกมุมการทำเช่นนี้มันเปรียบเสมือนการผูกมัดตัวเอง ว่าต้องไปถึงแชมป์สถานเดียว เพราะชาติที่มีลุ้นอย่าง ไทย หรือ อินโดนีเซีย ลีกของพวกเขายังแข่งปกติและมีเวลาซ้อมน้อยกว่า

การเดิมพันที่สูงลิบครั้งนี้ หากทีมชาติเวียดนามไปไม่ถึงแชมป์แล้วละก็ นักเตะในทีมจะสูญเสียความมั่นใจแบบเอียงข้างเป็นแน่ ส่วนฟุตบอลวีลีกก็เสียหายในแง่ของเวลาที่ถูกเว้นว่างไปแบบเปล่าประโยชน์ กระนั้นหากพูดถึงโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโค้ช คงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำผลงานได้ดีกว่า ปาร์ค รวมถึงตัวนักเตะเวียดนาม ก็ไม่ได้มีศักยภาพที่สูงส่งจนตอบสนองต่อแท็กติกของโค้ชได้ทุกคน

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

Categories
ข่าวกีฬา

“เปา การ์นาชเช่” ถึง “ธีราทร “

เราได้เห็นอะไรบ้าง จากกรณีดราม่าของ เปา การ์นาชเช่ ถึง ธีราทร

การเข้ารอบรองชนะเลิศของทีมชาติไทย ในศึก AFF SUZUKI CUP 2020 ดูแล้วไม่น่าจะมีดราม่าอะไร เพราะผลงานก็อยู่ในเกณฑ์ดีและเป็นไปตามเป้าหมาย แต่สุดท้ายก็เกิดดราม่าขึ้นจนได้ กับกรณีที่ เปา การ์นาชเช่ อดีตโค้ชของบริษัทเอโคโน่ ซึ่งเข้ามาทำงานร่วมกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยตัวโค้ชวัย 24 ปี ได้วิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นของไทย ในเกมกับ ฟิลิปปินส์ แล้วมีส่วนหนึ่งที่วิจารณ์ถึง ธีราทร ทำให้หลังจากนั้น เจ้าอุ้มมีการแชร์โพสต์และต่อว่า สุดท้ายเรื่องราวจบลงที่ การ์นาชเช่ โพสต์ขอโทษและไม่มีเจตนาร้าย

สิ่งหนึ่งที่ ธีราทร และแฟนบอลควรเข้าใจ โดยเฉพาะในยุคโซเชียล คือ การวิจารณ์ เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งแน่นอนว่าหลากคนย่อยหลากหลายความคิด แล้วมันย่อมมีที่เราจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อไรที่เราเจอแนวคิดที่รู้สึกว่าสวนทาง เราก็ควรใช้เหตุผลโต้แย้ง มากกว่าอารมณ์ หรือหากเป็นข้อมูลที่ไร้แก่นสาร การปล่อยผ่าน อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า เว้นเสียแต่ข้อมูลที่สร้างความเสียหายแบบไม่มีหลักฐาน อันนี้อาจต้องเข้าสู่กระบวนการแจ้งความ  

สิ่งที่เห็นได้อีกข้อ คือ การไม่มีสติในการเล่นสื่อโซเชียลของ ธีราทร ซึ่งการเล่น Facebook ของเจ้าตัว ล้วนแต่มีแฟนบอลและเพื่อนนักเตะติดตามค่อนข้างมาก กระนั้นในช่วงหลังๆ มันก็เริ่มปรากฏให้เห็นถึงกรณีพิพาทต่างๆ อาทิ การตอบคอมเมนต์แฟนบอลเวียดนาม ให้กลับไปกินสุนัข ซึ่งตรงจุดนี้อาจสร้างความฮือฮาและขำขันให้กับแฟนบอลบ้านเรา แต่หากมองอีกมุม มันก็เข้าข่ายการเหยียดเชื้อชาติเหมือนกัน หรือในกรณีล่าสุด ที่บอกว่า เอโคโน่ ไม่ต่างกับครูพละที่มีโปรไลเซนส์ ซึ่งตรงจุดนี้ ธีราทร อาจไม่ทราบถึงเบื้องลึกว่าบริษัทนี้เคยทำงานกับสโมสร หรือทีมชาติใดมาบ้าง ฉะนั้นหากเจ้าอุ้ม ไม่ใช้สติในการเสพสื่อ มันก็จะเป็นเรื่องที่อันตรายกับเจ้าตัวในอนาคต กับความเสี่ยงที่จะเกิดกรณีพิพาท หรือดราม่า แล้วสุดท้ายมันอาจส่งผลถึงภาพลักษณ์ในแง่ลบ

สิ่งที่เห็นได้อย่างสุดท้าย คือ เอคโคโน่ถูกด้อยค่าว่าไม่สามารถพัฒนาระบบเยาวชนไทยได้ ซึ่งหากกล่าวเช่นนี้ ก็ต้องย้อนถามว่า ก่อนหน้านี้ระบบเยาวชนของเราพัฒนาแล้วหรือไม่ก่อน โดยถ้าคำตอบออกมาว่า ระบบเยาวชนของเราไม่เคยพัฒนา แล้วต่อให้เอโคโน่เข้ามา ทำไมเราก็ยังอยู่ที่เดิม สุดท้ายเราต้องตั้งคำถามว่าอะไร คือ สิ่งที่หยุดยั้งการพัฒนา มิใช่โทษบริษัทที่เข้ามาทำงานเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังต้องไม่ลืมว่าการสร้างเยาวชนต้องใช้เวลาและมีแผนการที่ชัดเจน เช่น เมืองทอง ยูไนเต็ด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หรือ ชลบุรี เอฟซี ซึ่งล้วนแต่ใช้เวลาเกือบ 10 ปี กว่าจะเห็นผล ฉะนั้นหากนักเตะระดับตำนานของทีมชาติไทยยังไม่เข้าใจกระบวนการของการสร้างเยาวชน ฟุตบอลไทยในอนาคตก็น่าเป็นห่วงไม่น้อย

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

Categories
ข่าวกีฬา

“ลอดช่องผ่านสบาย”

ไทยชุดสำรอง ซด สิงคโปร์ชุดใหญ่ คาบ้าน 2-0 เข้าป้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 นัดสุดท้ายของ สาย A ณ สนามชั่นเนล สเตเดี้ยม ออฟสิงคโปร์ ทีมชาติไทย ที่ชนะรวด 3 นัด และผ่านเข้ารอบไปแล้ว จะต้องลงเล่นกับเจ้าบ้านอย่าง ทีมชาติสิงคโปร์ ที่ก็ชนะมา 3 นัด เช่นเดียวกัน ฉะนั้นถ้าผลออกแพ้ชนะ ทีมนั้นจะเข้ารอบในฐานะแชมป์สาย แต่ถ้าเกิดผลออกมาเสมอ จะเป็นไทยที่เป็นแชมป์กลุ่ม ส่วนผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม ทัพช้างศึกเปลี่ยนผู้เล่นยกชุดและกลับมาใช้ระบบ 4-3-3 ขณะที่เมอร์ไลออน จัดชุดใหญ่ในระบบ 4-1-4-1

      การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทีมชาติสิงคโปร์ จัดการเพรสซิ่งเพื่อชิงบอลและขึงบุก พร้อมใช้ลูกโด่งสาดเข้าใส่อย่างหนัก แต่แนวรับของคู่แข่งยังต้านทานไว้ได้ ซึ่งการกดดันหนักว่าครึ่งชั่วโมง สร้างความหวาดเสียว แต่มันไม่มีจังหวะจบสกอร์แบบเหน่งๆ ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติไทย การส่งชุดสำรองส่อแววจะเป็นงานหนัก แต่พอผ่าน 20 นาทีแรกของเกม ก็เริ่มจะแกะเพรสซิ่งและเปลี่ยนเป็นการสวนกลับได้บ้าง กระทั่งนาทีที่ 31 มาได้ประตูนำ 1-0 จังหวะที่ลงล็อค

      การขึ้นนำ 1-0 จากโอกาสยิงครั้งแรกของ ไทย มีผลให้เกมรุกของ สิงคโปร์ มลายหายสิ้นไป แล้วกลายเป็นว่าตัวเองมีความผิดพลาดตั้งแต่หน้าบ้าน ที่ไม่สามารถออกบอลให้พ้นจากแดนตัวเองได้ สุดท้ายก่อนจบครึ่งแรก มาโดนยิงทิ้งห่างเป็น 2-0 จากการตัดบอลและส่งให้ ศุภชัย ซัดเสาแรก

ครึ่งหลัง ไทย เปลี่ยนตัวผู้เล่นสำรองลงมา แล้วยังเดินหน้าบุกต่อ ซึ่งจะมีลักษณะ คือ ให้ชัวร์แล้วค่อยขึ้น กระนั้นจังหวะจบในหลายๆครั้งเริ่มจะเน้นความชัวร์มาเกินไป ทำให้พลาดโอกาสยิงทิ้งห่าง ส่วนทางฝั่ง สิงคโปร์ หมดแรงจนได้แต่เดินกว่าครึ่งทีม ทำให้เมื่อไรที่ได้บอล ก็จะใช้การสาดยาว แล้วผลลัพธ์ คือ ไม่เข้าเป้าและนำพาไปสู่ประตูตีตื้น

      ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม ทีมชาติไทย ใช้เวลาปรับตัวราว 15-20 นาที ซึ่งโชคดีที่ไม่โดนยิงประตู ทำให้หลังจากนั้นสามารถตั้งเกมของตัวเองได้ แล้วการได้ประตูนำมันก็มีผลให้การครองบอลไหลลื่นและปิดเกมอย่างรวดเร็ว กระนั้นแนวรุกก็ยังมีปัญหาในเรื่องของโอกาสที่สิ้นเปลื้องในครึ่งหลัง และแนวรับที่มีสมาธิหลุดให้เห็นเป็นบางช่วง

ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติสิงคโปร์ การส่งชุดใหญ่ที่ไม่ได้พักเลย แล้วผลออกมาแพ้และมีตัวได้บาดเจ็บ ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดและจะมีผลต่อเกมในรอบรองแน่นอน ขณะที่ในเรื่องรูปเกม เกมรุกมีรูปแบบการเข้าทำจำกัดและวิธีการเหล่านั้นไม่แยบยลพอ ทำให้ไม่แปลกที่เมื่อเจอแนวรับที่ยืนตำแหน่ง จึงเจาะไม่ค่อยเข้า ไม่ต่างกันกับเกมรับ ที่เมื่อเจอสถานการณ์ไม่ใจ ก็แตกตื่นและมีความผิดพลาด มิหนำซ้ำยังหมดแรงอีก ทำให้สุดท้ายต้องพ่ายแพ้แบบไม่มีชิ้นดี

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

Categories
ข่าวกีฬา

“ยำเสือก็อร่อยเหมือนกันนะเนี่ย”

มาเลเซีย นำก่อน แต่ อินโดนีเซีย รัวคืน 1-4 เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม B  

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 นัดสุดท้ายของกลุ่ม B ณ สนามเนชั่นเนล สเตเดี้ยม ออฟสิงคโปร์ ทีมชาติมาเลเซีย ซึ่งมีมีเป้าหมายเดียว คือ ต้องชนะเพื่อผ่านเข้ารอบ ส่วนทีมที่ต้องพบอย่าง ทีมชาติอินโดนีเซีย มีสถานการณ์ที่ดีกว่า เพราะแค่เสมอก็ผ่านเข้ารอบ สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เสือเหลืองมาในระบบ 4-5-1 ขณะที่เดอะการูด้าปรับมาใช้ 4-4-2

      การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทีมชาติมาเลเซีย ดูดีกว่ากับการครองบอลบุกใส่ แต่วิธีการเข้าทำไม่เด่นชัด จนเห็นได้ว่าถ้าตรงไหนไปได้ ก็จะแทงหรือออกบอลไปตรงนั้น กระทั่งความผิดพลาดในการสกัดบอลของฝั่งตรงข้าม มันก็มีผลให้ โกกิเลซวาราน มีพื้นที่ได้ส่องไกลและเสียบเสา ขึ้นนำ 1-0 จากนั้น ทีมชาติอินโดนีเซีย ต้องเดินเกมรุก แต่ก็ยังมีความผิดพลาดในเรื่องของการขึ้นบอลที่เสียกลางทาง กระนั้นประตูตีเสมอ 1-1 มาจากการเจาะพื้นที่ฝั่งขวาและหน้าไลน์กองหลัง ซึ่งเป็นปัญหาเดิมๆของฝั่ง มาเลเซีย ไม่เพียงเท่านั้น เดอะการูด้า มาได้ประตูพลิกนำ 1-2 จากการเลี้ยงฝ่าและป้อนบอลไปทางฝั่งขวา โดยจังหวะนี้แนวรับฮารีเมามาลายา มีปัญหาในการยืนตำแหน่งป้องกัน ที่ไม่ช่วยกันซ้อน   

ครึ่งหลัง มาเลเซีย ต้องเสีย ซาฟาวี พร้อมกับการเสียประตูทิ้งห่าง 1-3 จากการยิงไกล ซึ่งนั้นทำให้เกมบุกของ มาเลเซีย พิการและช็อตไปเลย เพราะนับจากนั้นมันได้แต่โยนจากหลังไปหน้า แล้วไม่มีความแม่นยำ จนไม่ต่างกับเตะบอลอัดกำแพง สุดท้ายก่อนจบเกม อินโดนีเซีย มาได้ลูก 1-4 จากเตะมุม ทำให้เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ไปชนกับ สิงคโปร์ ในรอบรองชนะเลิศ

      ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม ทีมชาติมาเลเซีย โชคดีที่ขึ้นนำก่อน ซึ่งในตอนนั้นเหมือนสถานการณ์กำลังจะเข้าทาง แต่ด้านปัญหาเดิมๆในเกมรับ มันก็ผลให้เสียประตู แล้วยิ่งโดนยิงแซงและตัวรุกบาดเจ็บ สถานการณ์ก็ยิ่งย่ำแย่ ในทางกลับกันพอจะพึ่งเกมรุก ความหลากหลายและรูปแบบการเข้าทำที่แม่นยำก็ไม่มีอีก

สุดท้ายผลการแข่งขันจึงต้องออกมาแบบนี้ ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติอินโดนีเซีย แผนแรกที่วางมา คือ ตั้งรับและหาจังหวะสวนกลับจู่โจม กระนั้นการโดนยิงก่อน ยังดีที่ไม่เสียขวัญ แล้วค่อยๆใช้จุดเด่นในเกมรุกเล่นงานจุดของคู่แข่ง ซึ่งมันก็แปรเปลี่ยนให้เป็นประตู พร้อมกับลูกยิงไกลและความผิดพลาดของคู่แข่ง ฉะนั้นหากมองแบบภาพรวม รูปเกมอาจจะไม่หลากหลายและดีเลิศ แต่พอมีโอกาส ก็สามารถลงโทษคู่แข่งได้    

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

Categories
ข่าวกีฬา

“มุ้ยเบิ้ล 2 ”

ทีมชาติไทย ได้มุ้ยยิง 2 ตุง ส่ง ฟิลิปปินส์ กลับบ้านด้วยสกอร์ 1-2

ศึก AFF SUZUKI CUP 2020 รอบแบ่งกลุ่มสาย A ณ สนามเนชั่นเนลสเตเดี้ยม ออฟสิงคโปร์ ทีมชาติฟิลิปปินส์ ที่แข่งไป 2 นัด แล้วชนะกับแพ้อย่างละนัด ทำให้นัดนี้ห้ามแพ้เป็นอันขาด เพราะนั่นจะหมายถึงโอกาสตกรอบที่สูงมาก ส่วนคู่แข่งที่จะพบ คือ ทีมชาติไทย ซึ่งแข่งมาแล้ว 2 นัด ชนะ 2 นัด ฉะนั้นหากชนะอีกนัด ก็แทบจะการันตีการเข้ารอบ สำหรับระบบการเล่นของทั้ง 2 ทีม ขุนพลตากาล็อกปรับมาใช้ 3-4-3 ขณะที่ทัพช้างศึกใช้ 4-4-2 ตามเดิม

      การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทีมชาติไทย ครองบอลไว้ได้เหนือกว่าชัดเจน แต่มันเป็นเพียงการต่อบอลในแดนตัวเองและพื้นที่แดน 1-2 ของคู่แข่งเป็นส่วนใหญ่ ส่วนในแดน 3-4 เจาะได้ยากลำบาก เพราะการเคลื่อนที่และการสอดรับของผู้เล่นไม่เร็วพอ ทำให้เมื่อไรที่บอลถูกจ่ายเข้าไป ก็จะถูกรุมและต้องใช้การเลี้ยงหนีเพื่อไม่ให้เสียบอลง่าย กระนั้นการชิงเหลี่ยมพลาดของผู้เล่นในแนวรับของ ฟิลิปปินส์ มันก็มีผลให้ ธีราทร มีพื้นที่เปิดบอลเข้าไปให้ ธีรศิลป์ ยิงเต็มแรงเสียสามเหลี่ยม ขึ้นนำ 0-1 ซึ่งในจังหวะนี้นับเป็นการเข้าทำที่สวย เพราะช่องจ่ายและช่องยิงมีน้อย แต่สามารถทำได้อย่างเด็ดขาด จากนั้น ไทย เล่นด้วยความมั่นใจจนต่อบอลได้ไหลลื่นขึ้น แต่ด้วยความที่เน้นชัวร์มากเกินไป มันก็มีผลให้ไม่ได้ประตูที่ 2  

ครึ่งหลัง ทีมชาติไทย พยายามเล่นแบบประคอง คือ มีโอกาสจะค่อยๆขึ้นและไม่รีบเร่ง เพราะมันมีความเสี่ยงที่จะเสียบอล ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติฟิลิปปินส์ พวกเขาปรับมาเยือน 4-4-2 แล้วอาศัยการขึ้นบอลทางริมเส้นและเปิด ซึ่งไม่เข้าเป้าและสร้างความอันตรายใดๆเลย แต่แล้วด้วยความผิดพลาดของฝั่งตรงข้ามที่โหม่งสกัดพลาด มันก็กลายเป็นโอกาสทองให้ ไรเชล ได้ซัดระยะจ่อๆตีเสมอ 1-1

      หลังจากถูกตีเสมอแบบสุดช็อก เกมรุกของ ไทย ก็กลับมามีสภาพเหมือนก่อนได้ประตูนำ นั่นจึงทำให้ มาโน่ เลือกจะเสี่ยงด้วยเปลี่ยนกองกลางยกแผง แล้วตัวที่ลงไปอย่าง ฐิติพันธ์ ก็อาศัยการชิงเหลี่ยม แล้วคู่แข่งดันเตะล้มจนกลายเป็นจุดโทษ พร้อมกับประตูนำ 1-2 ซึ่งตรงจุดนี้ช่วยคลายความกดดันให้ทัพช้างศึก ก่อนจะประคองตัวได้จนจบเกม

      ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม ทีมชาติฟิลิปปินส์ พยายามวางเกมรับให้หนาแน่น แต่การชิงเหลี่ยมในหลายจังหวะเป็นรอง แล้วนั่นเป็นส่วนสำคัญให้พวกเขาต้องเสียประตู ส่วนเกมรุก ไม่มีมิติอะไรที่ชัดเจน เพราะมันมีเพียงการเปิดจากริมเส้นไปหน้าประตู ขณะที่ ทีมชาติไทย เกมรับเสียประตูเพราะความผิดพลาดส่วนบุคคล แล้วการเสียประตูตรงนี้มีผลให้รูปเกมดรอปลงไป กระนั้นยังดีที่แนวรุกเฉียบคมในจังหวะขึ้นนำลูกแรก และลูกที่ 2 ซึ่งมีความกดดันอย่างยิ่ง อย่างไรเสียก็ยังมีบางจังหวะที่ต้องปรับจังหวะว่าควรยิงเบาหรือแรงอย่างไร ซึ่งหากทำได้ มันก็ช่วยให้เกมรุกมีความน่ากลัวขึ้นไปอีก  

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : รวมพลคนบันเทิง

Categories
ข่าวกีฬา

“2 เกาหลีกินกันไม่ลง”

เวียดนาม บุกทั้งเกม แต่สุดท้ายได้แค่เจ๊า อินโดนีเซีย 0-0

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 นัดที่ 3 ของสาย B ทีมชาติเวียดนาม ที่ชนะมา 2 เกมติด จะพบกับ ทีมชาติอินโดนีเซีย ที่ก็ชนะมา 2 เกมติดเหมือนกัน ฉะนั้นหากมีผลแพ้ชนะเกิดขึ้น ทีมนั้นจะลอยลำผ่านเข้ารอบทันที แต่ถ้าออกผลเสมอ จะต้องไปลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้าย สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม ขุนพลดาวทองของลุงปาร์ค มาในระบบ 3-4-3 ส่วนเดอะการูด้าของน้าชิน อัดแน่นเกมรับในระบบ 5-4-1

      เกมการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทีมชาติเวียดนาม เป็นฝ่ายครองบอลและบุกใส่ แต่การต้องพบกับแนวรับที่ยืนอัดแน่นหน้าบริเวณแดน 3-4 ทำให้การต่อบอลและเข้าทำเป็นไปอย่างยากลำบาก กระทั่งต้องออกบอลไปทางริมเส้นแล้วตบมาหน้าประตู ซึ่งมันก็มีจังหวะที่บอลมาถึงหน้าประตูและได้สับไก แต่แนวรับฝ่ายตรงข้ามยังเข้ามาบังทางได้ดี จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เวียดนาม เริ่มจะตื้อตันและใช้วิธีการต่อบอลให้เกิดช่องว่างและรีบยิงไกล แต่ก็ไม่มีความแม่นยำเลย ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติอินโดนีเซีย มาเน้นตั้งรับและยืนตำแหน่งได้ดี แต่ไม่มีเกมโต้กลับที่ไปได้สุดทาง ทำให้การครองบอลมีระยะเวลาที่ไม่นาน แล้วสุดท้ายต้องวิ่งหน้าตั้งกลับมาตั้งรับ      

ครึ่งหลัง รูปเกมยังคงเหมือนกับ 45 นาทีแรก แต่สิ่งที่ดูมีการเปลี่ยนแปลง คือ อินโดนีเซีย พยายามต่อบอลเพื่อหนีการบีบสูง จนสามารถขึ้นบอลได้ถึงแดหน้า แต่จังหวะการเข้าทำดันมีแค่การเปิดไปให้หน้าเป้าตัวเดียว ซึ่งไม่แม่นยำและไม่อันตราย ส่วนทางฝั่ง เวียดนาม พอเจอเกมที่อึดอัดและไม่มีแผน หรือวิธีการทำประตูอย่างอื่น ก็เริ่มจะตื้อตันไปเรื่อยๆ กระทั่งทำอะไรก็ไม่ดีไปเสียหมด ทำให้เกมจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0

ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม ทีมชาติเวียดนาม พอเจอทีมที่รับอยากมีวินัย เกมรุกก็พิการทันที แล้วด้วยความที่ว่าตัวเองมีมิติเกมรุกไม่มาก มันจึงเป็นผลให้ไม่มีการแก้เกมหรือแก้ลำระหว่างทางให้เห็น ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติอินโดนีเซีย เกมรับทำหน้าที่ได้ดีและไม่มีข้อผิดพลาด แต่เกมรุกของ ชิน แต ยัง ถือว่าสอบตกสิ้นเชิง เพราะมันเห็นถึงความไม่ลงตัวและไม่มีแบบแผน ทั้งๆที่ตัวเองสามารถแกะบอลหนีการดันสูงและขึ้นบอลได้แล้ว ซึ่งการได้ผลเสมอ 0-0 ถือว่าเป็นผลการแข่งขันที่ดีที่สุด เพราะเกมรุกแบบนี้ ไม่มีทางยิงคู่แข่งได้แน่ อีกทั้งถ้าหากพลาดโดนยิงเมื่อไร เดอะการูด้าแพ้แน่นอน

ติดตามข่าวกีฬาในทุกสัปดาห์ได้ที่ livethaileague.com

FB : รวมพลคนบันเทิง