Month: August 2021

ศึกโหมโรงก่อนการแข่งขันไทยลีก 1 จะเปิดฤดูกาล 2020/21  ได้วันเวลาการแข่งขันเป็นที่แน่นอนแล้ว คือ วันที่ 1 ก.ย. เวลา 18.00 น. ช่อง ททบ 5 และ เอไอเอสเพลย์ ถ่ายทอดสด ส่วนสนามการแข่งขันในปีนี้จะโยกไปใช้ที่สนามสมโภช 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกของศึกแชมป์ชนแชมป์ที่ออกไปเล่นต่างจังหวัด เนื่องจากที่ผ่านมาสนามแข่งขันจะวนเวียนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ขณะที่คู่ชิงจะเป็นการพบกันระหว่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในฐานะแชมป์ไทยลีก กับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ในฐานะแชมป์ช้างเอฟเอ คัพ

          ทางฝั่งของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด แชมป์ไทยลีกหนนี้ คือ แชมป์สมัยแรกของสโมสร หลังจากส่งทีมแข่งมา 10 ปีเต็ม ซึ่งการคว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่นี้ พวกเขาได้ฝากสถิติที่น่าจดจำไว้ นั่นก็คือ การเป็นแชมป์ในระยะเวลาที่รวดเร็วที่สุดเพียง 24 นัดของการแข่งขัน (1 ฤดูกาลมี 30 นัด) อย่างไรเสียเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด เห็นจะเป็นการอดทำสถิติไร้พ่ายเป็นทีมที่ 3 เพราะการแข่งขันนัดปิดฤดูกาล ดันออกไปพ่าย เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แบบน่าเจ็บใจ แต่กระนั้นการทำผลงานได้ดีจนเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในศึก ACL เป็นครั้งแรกของสโมสร ก็ช่วยให้กระต่ายน้ำเงินคราม ลืมความเจ็บแค้นนั้นไปได้มากทีเดียว      

 คราวนี้โยกไปดู สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด กันบ้าง โดยที่ผ่านมานั้น กว่างโซ้งสามารถคว้าแชมป์ได้ทุกถ้วยทุกใบที่มีอยู่ในเมืองไทยแล้ว ส่วนการคว้าแชมป์ช้างเอฟเอ คัพ ในหนนี้ นับเป็นการเถลิงแชมป์สมัยที่ 3 ของสโมสรแล้ว

ฉะนั้นจึงไม่แปลกนักที่จะถูกยกย่องให้เป็นสิงห์บอลถ้วยแห่งวงการฟุตบอลไทย ส่วนผลงานล่าสุดก่อนจะมาแข่งขันนัดนี้ พลพรรคกว่างโซ้งได้เดินทางไปยังประเทศอุซเบกิสถาน เพื่อลงแข่ง ACL แต่น่าเสียดายที่ต้องตกรอบ เพราะมีคะแนนไม่พอ แต่หากให้เจาะลึกลงไปก็นับว่าน่าภูมิใจอย่างยิ่งที่สามารถต่อกรกับทีมจากลีกมหาอำนาจของทวีปเอเชียได้อย่างสูสี    

สำหรับการลงสนามพบกันในวันที่ 1 กย. ที่จะถึงนี้ ศักยภาพและขุมกำลัง รวมถึงฟอร์มการเล่นของ บีจีปทุม ยูไนเต็ด ดูดีกว่า ขณะที่ทางฝั่งสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด การเสริมทัพไม่มี เพราะเน้นไปที่ระบบทีมเวิรค์ ฉะนั้นหากให้วิเคราะห์ฟันธง ก็เชื่อว่าแชมป์ไทยลีก  จะเป็นต่อนิดๆ แล้วถ้ายิ่งเล่นได้ตามฟอร์มไม่มีมาตรฐานตก ก็เชื่อพวกเขาจะมีโอกาสชนะมากว่าครึ่ง แต่สกอร์อาจจะไม่ขาด 

ตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

ศึกฟุตบอลไทยลีก 3 ใกล้เริ่มเปิดฉากเต็มทน แต่อาจต้องรอกันสักหน่อย สำหรับภาคตะวันตกในปีนี้อาจมีทีมเข้าแข่งขันน้อยกว่าโซนอื่นๆ เพราะเมื่อปีที่แล้วมีทีมเลื่อนชั้นไป 2 ทีม ทำให้ในปีนี้จะมีทีมลงแข่งเพียง 11 ทีม เท่านั้น

เริ่มกันที่ หัวหิน ซิตี้ กับผลงานที่ยังไม่ดีขึ้น แถมยังมีแต่สาละวันเตี้ยลงจนไปอยู่ท้ายตาราง ทำให้ปีนี้ต้องมาดูกันว่าเรือใบสีขาวในเวอร์ชั่นเด็กวัยคะนองจะมีผลงานที่ดีขึ้นหรือไม่ ถัดมาไปที่ สมุทรสงคราม เอฟซี อดีตยอดทีมของฟุตบอลลีกไทยที่ยังหลับไหลในลีกรากหญ้า โดยผลงานที่ผ่านมาไม่มีคำว่าใกล้เคียงการลุ้นเลื่อนชั้น ฉะนั้นในปีนี้ก็คงไม่ต่างกัน ขณะที่ ทวีวัฒนา สมุทรสาคร ยูไนเต็ด ปีที่แล้วจบบ๊วยไม่เป็นไร แต่ถ้าปีนี้ยังเป็นแบบเดิมอีกคงยุ่งเป็นแน่ 

จังหวัดกาญจนบุรีมีทีมฟุตบอลลงเล่นไทยลีก 3 ปีนี้ 2 ทีม นั่นคือ กาญจนพัฒน์ เอฟซี ที่ปีที่แล้วเกือบแย่ แต่ก็ชิงตัวหนีบ๊วยมาได้สำเร็จ ฉะนั้นในปีนี้ต้องทำผลงานให้ดีกว่าเดิม เพื่อไม่ต้องลุ้นเหนื่อยจนหยดสุดท้ายอีก ส่วน สิงห์ระฆังทอง กาญจนบุรี เอฟซี ปีแล้วมีแรงฮึดช่วงเลก 2 แต่มันไม่พอที่จะลุ้นเข้าเป้า 2 อันดับแรก ทำให้ในปีนี้ต้องเครื่องร้อนเร็วเพื่อมีลุ้นยาวๆ ขณะที่ ชัยนาท ยูไนเต็ด ถอนตัวไปเพราะโควิด-19 อย่าไรเสียถ้าทำผลงานได้มาตรฐานเหมือนก่อนหน้านี้ เชื่อว่าจะเอาตัวรอดได้แบบชิวๆ

มหาวิทยาลัยปทุมธานี อาจจะไม่ใช่ทีมที่มีชื่อเสียงอะไร แต่ผลงานเมื่อปีที่แล้วถือว่ายอดเยี่ยมกับการอยู่โซนกลางตารางแบบไม่ต้องดิ้นรน ฉะนั้นหากปีนี้ทำผลงานได้ดีไม่ต่างจากเดิม ก็คงไม่มีอะไรน่าห่วง ส่วน อัสสัมชัญ ยูไนเต็ด ผลงานดีกับการจบกลางค่อนบนของตาราง แต่ถ้าหากต้องการมีผลงานที่ดีและมีลุ้น ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการเล่นเพื่อเน้นเอาแต้มเป็นสำคัญ มิใช่บุกแลกแล้วพ่ายแพ้เยอะแบบนี้

จากนั้นเราไปดูยอดทีมในแถบลุ่มแม่น้ำกันบ้าง เริ่มที่ อ่างทอง เอฟซี ซึ่งน่าเสียดายมากๆที่อดไปรอบซุปเปอร์ลีก เพราะมีแต้มน้อยกว่า ราชประชา เพียงแต้มเดียว แต่อย่างไรเสียปีนี้นักรบรวงทอง เป็นเต็งหนึ่งของโซนแน่ หากไม่พลาดไปเอง ส่วน บางปะอิน อยุธยา เอฟซี ที่ถูกชุบกลายเป็น เอสซีจีเมืองทอง ยูไนเต็ด สาขาย่อย ปีนี้คงไม่มีปัญหา แต่จะได้ลุ้นติด 1 ใน 2 หรือไม่ ต้องรอดู  สุดท้าย สระบุรี ยูไนเต็ด ผลงานก็ค่อยๆดีขึ้นมา แต่ก็คงวนเวียนอยู่บริเวณกลางตารางอีกปี

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

อย่างที่เราทราบกันดีว่าแชมป์ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2020/21  ตกเป็นของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ซึ่งจะว่าไปก็นับเป็นเรื่องเซอร์ไพร์สเล็กๆ แม้กระต่ายน้ำเงินครามจะเป็นทีมที่ใหญ่ แต่ก็คงไม่มีใครคิดว่าจะไปถึงแชมป์ ฉะนั้นวันนี้เราจะไปย้อนดูเส้นทางตลอดซีซั่นนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

บีจี ปทุม ยูไนเต็ด กลับขึ้นมาสู่ไทยลีก 1 อีกครั้ง หลังจากตกชั้นลงไปเล่นลีกรอง 1 ปี โดยตำแหน่งเฮดโค้ชยังเป็น ดุสิต เฉลิมแสน ขณะที่การเสริมตัวผู้เล่นใหม่ก็ไม่จัดว่าว้าวแต่อย่างใด ส่วนการออกสตาร์ท 4 นัดแรกของฤดูกาล เก็บได้ 10 คะแนน จากการ ชนะ 4 เสมอ 1 ซึ่งถือว่าทำผลงานได้เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ แต่แล้วด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มทวีความรุนแรง ทำให้สมาคมฟุตบอลสั่งเบรกการแข่งขัน

ในช่วงที่พักเบรกการแข่งขันนานกว่าครึ่งปี  หลายทีมมีการปรับเปลี่ยนโควตาต่างชาติ รวมถึงการปล่อยผู้เล่นที่ค่าเหนื่อยสูงเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินไว้ ซึ่งตรงจุดนี้ บีจี ปทุม  ยูไนเต็ด สวมวิญญาณกระต่ายมือไวด้วยการฉกตัวผู้เล่นชื่อดังมาร่วมทีม ได้แก่ สารัช อยู่เย็น กับ อังเดร ตูเญช ซึ่งเมื่อนำมารวมกับที่มีอยู่ก่อนแล้ว มันก็ยิ่งทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นไปอีก

การแข่งขันนัดที่ 5-15 กลับมาแข่งในเดือนกันยายน  โดยนัดประเดิมการรีสตาร์ทต้องออกไปเยือนทีมเต็งลุ้นแชมป์อย่าง การท่าเรือ เอฟซี แล้วในนัดนั้นบุกไปชนะได้ 1-0  จากนั้นต้องพบกับทีมใหญ่แบบรัวๆ คือ ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งสามารถเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด ทำให้ตอนนั้นก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง พร้อมกับมี การท่าเรือ เอฟซี ตามจี้หลัง

บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เล็งเห็นแล้วว่าทีมมีปัญหาในเรื่องเกมรุก ทำให้เลกที่ 2  มีการเสริมกองหน้า 2 ราย ซึ่งชื่อชั้นนับได้ว่าเป็นระดับพระกาฬทั้งสิ้น ได้แก่ ติอาโก้ หลุยส์ซานโต กับ ธีรศิลป์ แดงดา โดยการเสริมแนวรุกครั้งนี้สภาพทีมจึงแข็งแกร่งทั่วแผ่น ทำให้การแข่งขันที่เหลืออีกกว่าครึ่งทาง กระต่ายน้ำเงินครามมีผลงานร้อนแรงไม่เลิกรา ในขณะที่คู่แข่งอย่าง การท่าเรือ เอฟซี สะดุดแบบรัวๆ กระทั่งช่องว่าง 4 แต้ม ขยายเป็น 20 ในไม่กี่สัปดาห์

เกมการแข่งขันเดินทางมาถึงนัดที่ 24 บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็สามารถการันตีตำแหน่งแชมป์ได้สำเร็จ เพราะคู่แข่งอย่าง การท่าเรือ เอฟซี สะดุดจนกู่ไม่กลับ อีกทั้ง สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด และราชบุรี เอฟซี ก็ดันทำแต้มหล่นตลอดรายทาง ขณะที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นรถด่วนที่กระโดดจากท้ายขึ้นมาจบที่ 2 อย่างไรเสียแม้ว่าจะการันตีตำแหน่งแชมป์ แต่กระต่ายน้ำเงินครามก็ยังมองถึงการทำสถิติเป็นแชมป์ไร้พ่ายทีมที่ 3

บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ได้ฉลองการรับถ้วยอย่างยิ่งใหญ่ในนัดที่ 29 (พบกับ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี) ส่วนในนัดสุดท้ายต้องบุกไปเยือน เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ถิ่นอาถรรพ์ที่ไม่เคยชนะ แต่เป็นคำตอบสุดท้ายว่าจะการทำสถิติไร้พ่ายหรือไม่ อย่างไรก็ตามด้วยอาถรรพ์ที่รุนแรง กระต่ายน้ำเงินครามมิอาจต้านทานไหว สุดท้ายพ่ายไป 1-0 อดทำสถิติเป็นแชมป์แบบไร้พ่าย

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

แม้ว่าตอนนี้ อากิระ นิชิโนะ จะเป็นอดีตกับทีมชาติไทยไปแล้ว แต่ควันหลงต่างๆนาๆยังมีอีกหลายเรื่องให้ได้พูดถึง ซึ่งตลอดเวลากว่า 2 ปี มันก็มีพฤติกรรมหลายอย่างที่สื่อว่าจริงๆแล้ว นิชิโนะซัง อาจไม่ได้เต็มใจและต้องการมาคุมทีมชาติไทย ตั้งแต่แรก

การยื่นข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้

หลังจาก นิชิโนะ เสร็จภารกิจในการนำทีมชาติญี่ปุ่น ลุยฟุตบอลโลก 2018 กระทั่งทัวร์นาเมนต์จบลง JFA ก็ได้หาโค้ชคนใหม่เข้ามา ส่วนนิชิโนะ ลงมาทำงานกับสมาคม จากนั้นเวลาต่อมาสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ติดต่อและบินไปเจรจาถึงญี่ปุ่น

เพื่อเอา นิชิโนะ มาคุมทีมชาติไทยให้ได้ นอกจากนี้ยังมีการมอบข้อเสนอและเงินเดือนที่สูงถึง 3 ล้านบาท/เดือน เพื่อล่อใจกุนซือมากประสบการณ์ผู้นี้ ซึ่งในมุมของกุนซือชาวญี่ปุ่น มันสามารถมองได้ว่าเขามาหาถึงที่ แถมให้เงินเดือนมหาศาล มันยากที่จะหาเหตุผลมาปฏิเสธ

ฉะนั้นการรับงานไปก่อนก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะมันก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่จะได้ทำงานในต่างแดน อีกทั้งมันไม่ได้มีโอกาสบ่อยๆ ที่จะได้ค่าเหนื่อยสูงถึงขนาดนี้

อายุการทำงานโค้ชเหลือไม่มาก

นิชิโนะ ตอนมารับงานคุมทีมชาติไทย อายุ 63 ปีแล้ว ซึ่งด้วยวัยขนาดนี้ อายุการทำงานเหลือเต็มที่ คือ 8-10 ปี ทีนี่สมาคมฟุตบอลกล่าวว่าต้องการให้ นิชิโนะ เข้ามาวางรากฐาน

แต่กระนั้นการวางรากฐานมันต้องใช้เวลา 5-10 ปีขึ้นไป ฉะนั้น นิชิโนะ จึงไม่เหมาะ อีกทั้งการที่เจ้าตัวเติบโตและเห็นพัฒนาการของฟุตบอลญี่ปุ่น ก็น่าจะรู้ดีว่าตัวเองอายุขนาดนี้ คงวางรากฐานระยะยาวไม่ได้ แต่ในเมื่อเขามาจ้าง ก็ทำในลักษณะมือปืนรับจ้างไป

ไม่เอาสตาฟโค้ชเพื่อนร่วมชาติมาทำงานด้วย

การมาทำงานนอกประเทศครั้งแรก แล้วสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ทำให้การถ่ายทอดข้อมูลของ นิชิโนะ ต้องผ่านล่ามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ดีอุปสรรคการทำงานมันก็ได้เพิ่มขึ้น เพราะตัวนิชิโนะ เลือกจะมาตัวคนเดียว ไม่มีสตาฟญี่ปุ่น แต่ดันรับงานคุมทีม 2 ชุด

ได้แก่ ชุดใหญ่ กับ U-23 ซึ่งภาพที่ปรากฎออกมา คือ การทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ กล่าวคือ หากทั้ง 2 ชุดนี้ แข่งขันในเวลาใกล้ๆกัน นิชิโนะแทบจะหัวหมุน เพราะไม่มีการแบ่งทีมทำงาน การซ้อมจึงทำได้ไม่เต็มที่อย่างที่กุนซือชาวญี่ปุ่นต้องการ สุดท้ายผลงานจึงออกมาดีสลับแย่

โดยหาก นิชิโนะ ตั้งใจจะมาทำงานกับทีมชาติไทยจริงๆ ก็น่าจะรู้ดีว่าต้องหาคนที่รู้ใจมาเป็นผู้ช่วยกับรับเหมาดูแลทีมชุด U-23 เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น

เดินทางกลับบ้านบ่อย

การเดินทางกลับบ้านไม่ใช่เรื่องผิด แต่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา นิชิโนะ กลับญี่ปุ่นบ่อย อีกทั้งเมื่อกลับไปก็จะติดต่อได้ยากแม้มีผู้ประสานงาน อีกทั้งการกลับบ้านเมื่อหนล่าสุดก็ได้สร้างความเสียหายกับทีมชาติไทย

กล่าวคือ ฟุตบอลไทยประกาศวันกลับมารีสตาร์ทตั้งนานแล้วว่าจะเตะในเดือนตุลาคม แต่กว่า นิชิโนะ จะกลับมา โปรแกรมก็เหลืออีกเพียง 3 นัด การไปดูตัวนักเตะจึงไม่ทันการณ์ นอกเสียจากฟังข้อมูลของสตาฟ หรือดูผ่านหน้าจอ

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

ศึกฟุตบอลไทยลีก 3 เราได้พาไปรู้จักกันมาหลายโซน แต่สำหรับวันนี้จะพาเข้ากรุงและเขตปริมณฑลกันบ้าง ซึ่งในโซนนี้ถือว่ามีสมาชิกเยอะที่สุดถึง 14 ทีม เนื่องจากมีทีมผุดขึ้นมาและไม่ได้เลื่อนชั้นขึ้นไป

จังหวัดนนทบุรี มีทีมส่งแข่งขันถึง 3 ทีม เริ่มจาก สยาม เอฟซี ทีมน้องใหม่ชื่อไม่คุ้นเคย ซึ่งเมื่อฤดูกาลก่อนทำผลงานไม่ค่อยดีเท่าไร ทำให้ปีนี้ต้องเร่งสปีดตัวเองขึ้นมาสักนิดเพื่อความสบายใจ ถัดมา เอสทีเค เมืองนนท์ เอฟซี ที่แอบตั้งเป้าหมายว่าอยากมีลุ้นติด 1 ใน 2 แต่ความจริงที่ปรากฏคือห่างไกลลิบ ฉะนั้นปีนี้หากยังหวังอยู่ ก็จำเป็นต้องเสริมเขี้ยวเล็บให้มากขึ้น ส่วน นนทบุรี ยูไนเต็ด ส.บุญมีฤทธิ์ น่าเสียดายที่ทำแต้มไม่พอสำหรับการติด 2 อันดับแรก อย่างไรเสียปีนี้มีโอกาสแก้ตัว ถ้าทำผลงานได้เหมือนปีที่แล้ว

เข้ามาในเขต ก.ท.ม ก็คงต้องเริ่มที่ เกร็กคู สายไหม ยูไนเต็ด ทีมดั้งทีมเดิมที่ไม่เคยเลื่อนชั้นไปไหน ปีที่แล้วทำผลงานได้ดีกับการจบอันดับกลางตาราง ถัดมา พราม แบงค็อก ทีมน้องใหม่ที่โชว์ฟอร์มได้ไฉไล ทำให้อดใจไม่ไหวว่าปีนี้จะปังกว่าปีที่แล้วหรือไม่ ส่วน อินเตอร์ แบงค็อก ดำดิ่งกับการจบบ๊วย แต่ปีนี้จะเป็นอย่างนั้นอีกไม่ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงการถอยกลับไปยังลีกสมัครเล่น ข้ามมาดูฝั่งธนกันบ้าง มีอยู่ด้วยกัน 2 ทีม ได้แก่   ธนบุรี ยูไนเต็ด ที่ผลงานก็งั้นๆกับการจบกลางตาราง ส่วน บางกอก เอฟซี ทำผลงานได้อย่างสวยหรูกับตำแหน่งแชมป์ แต่น่าเสียดายที่ตกม้าตายในรอบซุปเปอร์ลีก

ในโซนภาคตะวันออก อุดมไปด้วยทีมจากกองทัพเรือ ส่วนใน ก.ท.ม มีถึง 2 กองทัพ ได้แก่ ทหารบก เอฟซี ทีมที่ตั้งขึ้นมาในภายหลัง แต่ผลงานก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร เช่นเดียวกับ ทหารอากาศ เอฟซี ที่ไม่ตกชั้นก็บุญโขแล้ว นอกจากนี้ทีมจากสถาบันการศึกษา ก็ส่งมาแข่งถึง 3 ทีม เริ่มจาก มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ ที่ได้ไปรอบซุปเปอร์ลีกบ่อยๆทีมหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สมหวังกับการเลื่อนชั้นไปไทยลีก 2 เสียที ถัดมา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เอฟซี ผลงานก็ถูกๆไถๆบริเวณกลางตาราง แต่ไม่เคยร่วงลงไปถึงด้านล่าง ขณะที่ จามจุรี ยูไนเต็ด มีผลงานที่ดีขึ้นมา แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ถึงขั้นมีลุ้นเลื่อนชั้นอะไรกับเขา

สุดท้ายของปิดที่ สมุทรปราการ เอฟซี ทีมเก่าแก่ตั้งแต่ฟุตบอลยุคลีกภูมิภาค ส่วนผลงานในรอบหลายปีที่ผ่านมา ก็มีแต่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ซึ่งอย่างดีที่สุดสำหรับตอนนี้ คือ ขออยู่รอดปลอดภัยไว้ก่อน

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

ศึกฟุตบอลไทยลีก 3 ได้ประกาศโซนและทีมเข้าร่วมการแข่งขันเป็นที่เรียบร้อย โดยในส่วนนี้จะพาไปรู้จักกับ 13 ทีม จากโซนภาคตะวันออก ซึ่งนับว่าไม่มีใครที่แปลกหน้าแปลกตา เพราะไม่มีสมาชิกจากไทยลีก 2 ร่วงลงมา 

จังหวัดจันทบุรี มี 2 ทีม ที่เข้าร่วมการแข่งขัน เริ่มจาก อัศวิน เกาะขวาง ยูไนเต็ด ที่ค่อยๆไต่เต้าจากทีมท้ายมาอยู่กลางตาราง ทำให้ปีนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่าพวกเขามีพัฒนาการที่ขึ้นจริงๆหรือไม่ ส่วนในตัวเมือง คือ ทีมเก่าแก่อย่าง จันทบุรี เอฟซี ซึ่งในอดีตเคยก้าวขึ้นอยู่ในลีกรอง แต่เมื่อปีแล้วโชคดีที่ไม่มีตกชั้น มิเช่นนั้นร่วงลงไปอะเมเจอร์ลีกแล้ว เพราะจบในอันดับบ๊วย ฉะนั้นในปีนี้ต้องต้องผลักดันตัวเองขึ้นมาสักหน่อย

จังหวัดชลบุรี ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีทีมเข้าแข่งมากที่สุดถึง 5 ทีม โดยในจำนวนนี้มีถึง 3 ทีม ที่เป็นของหน่วยงานกองทัพเรือ ได้แก่ นาวิกโยธิน ยูเรก้า เอฟซี ที่ทำผลงานได้ดีกับการจบอันดับกลางตาราง ถัดมาเป็น กองเรือยุทธการ ที่ผลงานยังไม่ค่อยดีกับการอยู่ครึ่งล่างของตาราง ขณะที่น้องใหม่อย่าง หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.เอฟซี) ผลงานไม่เลวกับการไม่จมบ๊วยแบบสวยๆ ส่วนทีมที่ไม่ใช่หน่วยงานของกองทัพก็จะมี พัทยา ดอลฟินส์ ยูไนเต็ด หรือในชื่อเดิม คือ อีสาน พัทยา ซึ่งการประเดิมนายทุนใหม่ผู้คลั่งกีฬาลูกหนังจะเป็นอย่างไร ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะที่ บ้านบึง เอฟซี ชื่อไม่โดดเด่นแต่ผลงานไม่ใช่เล่นกับการอยู่หัวตาราง แต่กระนั้นในปีนี้ก็ไม่ง่ายที่จะทำได้เหมือนปีที่แล้ว

ขยับมาที่บ้านใกล้เรือนเคียงอย่างจังหวัดระยอง ตอนนี้หลงเหลือทีมในไทยลีก 3 เพียง 2 ทีม แต่กระนั้นก็เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เริ่มจาก บ้านค่าย ยูไนเต็ด ที่ก้าวขึ้นมาจากทีมสมัครแล้วทำผลงานได้ดี 2 ปีติดต่อกันแล้ว ทำให้ปีนี้ขอเสริมทัพอีกหน่อย ก็น่าจะมีลุ้นติดโควตา 2 อันดับแรกได้ ส่วน ปลวกแดง ยูไนเต็ด ปีที่แล้วเข้าป้ายในฐานะแชมป์ แต่ไปไม่ถึงดวงดาว ฉะนั้นในปีนี้ต้องมาสู้กันใหม่อีกครั้ง

ส่วนจังหวัดสระแก้ว ก็มีทีมส่งแข่ง 2 ทีม แบ่งเป็น สระแก้ว เอฟซี ที่เมื่อฤดูกาลก่อนทำงานได้น่าผิดหวัง ทำให้หวังว่าปีนี้จะไม่ย่ำแย่ซ้ำอีก ส่วน สายมิตรกบินทร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานได้ดีแล้ว แต่ถ้าอยากมีผลงานปังๆ ก็ต้องไม่พลาดท่าในเกมสำคัญอีก สุดท้ายขอจบที่ ฉะเชิงเทรา เอฟซี ที่หวังมาหลายปีแล้วกับการเลื่อนชั้น ซึ่งเมื่อปีที่แล้วก็ติด 1 ใน 2 ไปเล่นรอบซุปเปอร์ลีก แต่ก็ยังไม่สมหวัง ฉะนั้นในปีนี้ก็ได้แต่หวังว่าปลากัดนักสู้ตัวนี้จะยังไม่ท้อ เพื่อความสำเร็จในวันใดวันหนึ่ง

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

จากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกนี้ที่ยังดูไม่ท่าทีจะลดลง ทำให้สมาคมฟุตบอลต้องเรียกสโมสรสมาชิกมาประชุม ซึ่งก็ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย ฉะนั้นในวันนี้เราจะสรุปเป็นข้อๆเพื่อให้แฟนบอลไทยเข้าใจอย่างกระจ่างชัด

แผนแรก แข่งขันแบบปกติ แต่ไม่มีผู้เข้าชม          

จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าจะเริ่มฤดูกาลเดือนสิงหาคม แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่ดีขึ้น ทำให้สโมสรสมาชิกตกลงร่วมกันว่าจะเลื่อนออกไปทุกๆ 2 สัปดาห์ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น พร้อมกับลงเตะแบบสนามปิดไม่มีผู้ชม แต่การเลื่อนโปรแกรมออกไปนี้จะทำถึงแค่เดือนตุลาคมเท่านั้น เพราะถ้าถึงตอนนั้นแล้วยังสถานการณ์ยังเลวร้าย ก็จำเป็นต้องปรับการแข่งขันเป็นรูปแบบบั้บเบิ้ล  

แผนที่สอง แข่งขันแบบบั้บเบิ้ล

การแข่งขันแบบบั้บเบิ้ลถูกเสนอโดยสโมสรสมาชิกจาก ชลบุรี เอฟซี ซึ่งจะมี 2 รูปแบบ เริ่มจากการบั้บเบิ้ลแบบแบ่งกลุ่ม 4 สาย สายละ 4 ทีม ซึ่งในแต่ละสายจะมีสนามกลาง 1 แห่ง อีกทั้งการแข่งขันนี้จะไม่มีใครเป็นเจ้าบ้านเพื่อความยุติธรรม อาทิ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะไม่มีสิทธิ์เล่นสนามช้างอารีน่า หากแต่ต้องไปเล่นสนามกลางแห่งอื่น ส่วนรูปแบบการแข่งขัน จะแข่งแบบ 3 วัน 1 แมตช์ เมื่อวนเจอกันครบก็จะเวียนไปเตะกับทีมสายอื่นจนครบ ซึ่งการแข่งขัน 15 นัด คาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 2 เดือน เท่านั้น          

ส่วนการบั้บเบิ้ลอีกรูปแบบ จะใช้ต่อเมื่อสถานการณ์หนักหนาสาหัสจริงๆ โดยมีรูปแบบ คือ การบั้บเบิ้ลแบบเอา 16 ทีม มาไว้ในที่เดียว ซึ่งก็ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะเป็นที่จังหวัดภูเก็ต เพราะมีสนามฟุตบอลที่ได้มาตรฐานถึง 6 สนาม ฉะนั้นมันสามารถรันการแข่งขันให้จบเลกแรกได้แบบสบายๆและไม่ต้องเร่งมากจนเกินไป

แผนที่สาม หลังจบเลกแรกมาประเมินกันอีกครั้ง

หลังการแข่งขันเลกแรกจบ ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น ก็จะกลับมาแข่งขันแบบเหย้า-เยือนเหมือนเดิม โดยดูจากโปรแกรมที่วางไว้ตั้งแต่ทีแรกเป็นหลัก แต่ถ้าหากสถานการณ์ยังเลวร้าย ก็จะจัดแบบบั้บเบิ้ลตามที่กล่าวไปก่อนหน้า

เรื่องของงบจัดการแข่งขันแบบบั้บเบิ้ล

เรื่องนี้อาจเป็นที่กังวลใจของสโมสรสมาชิกว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะสมาคมฟุตบอลก็มีภาระค่อนข้างมาก ทำให้สโมสรสมาชิกจาก ชลบุรี เอฟซี ได้เสนอแนวทางว่าให้สมาคมฟุตบอลตัดเงินสนับสนุนสโมสรสมาชิกของทุกทีม ทีมละ 3 ล้านบาท ซึ่งนั่นจะทำให้สมาคมฟุตบอลมีเงิน 48 ล้านบาท ไว้สำหรับใช้จัดการแข่งขันแบบบั้บเบิ้ล โดยเงินในจำนวนนี้หากเหลือเอาเท่าไร ก็เอา 16 หาร แล้วคืนสโมสรสมาชิกไป

ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com

หลังจากถูกตัดจบไปตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้ฟุตบอลไทยลีก 3 ก็ใกล้จะกลับมาเปิดฉากฟาดแข้งกันอีกครั้งแล้ว โดยในส่วนนี้เราจะไปทำความรู้จักกับ 12 ทีม จากโซนภาคเหนือ ซึ่งจะเป็นทีมใดและคุ้นหูแฟนบอลชาวไทยหรือไม่ วันนี้เราจะได้รู้กัน

          เริ่มกันที่ขาประจำของโซนกันก่อน นั่นคือ อุตรดิตถ์ ศักดิ์สยาม เอฟซี โดยเมื่อครั้งยังแบ่งเป็นไทยลีก 4 ขุนพลดาบหักพยายามจะก้าวขึ้นมาอยู่ไทยลีก 3 ให้ได้ แต่ก็มักตกรอบไปก่อนเสมอ ส่วนการลุยฤดูกาลใหม่นี้ เชื่อว่าผลงานจะออกมาดี แต่อาจไปไม่ถึงการติดโควตาไปเพลย์ออฟเลื่อนชั้น ถัดมาเป็น แม่โจ้ ยูไนเต็ด ซึ่งในฤดูกาลที่แล้วมีกรณีปัญหากับ พิษณุโลก เอฟซี ว่าใครจะได้เพลย์ออฟ ก่อนที่สุดท้ายจะเป็นขุนพลนเรศวร เข้าไปเล่นแทน ทำให้ฤดูกาลนี้ต้องสู้ตายถวายชีวิต แต่กระนั้นก็ไม่ง่ายเพราะทีมร่วมโซนต่างเสริมทัพกันอย่างน่ากลัว   

ไม่ว่าใครจะไปใครจะมา กำแพงเพชร เอฟซี ภายใต้การนำของโค้ชเสกสรรค์ ศิริพงษ์ ก็ยังยืนแนวทางในการปั้นดินให้เป็นดาว แล้วทีมจบกลางตารางทุกปี ซึ่งในปีนี้ก็คงจะเป็นแบบนั้น ขณะที่ น่าน เอฟซี จากที่ตอนแรกส่อแววจะถอนและยุบทีม ตอนนี้กลับลำใหม่แล้วในการส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันต่อไป เช่นเดียวกับ สี่แคว ซิตี้ ที่เป็นทีมทุนทรัพย์น้อยจากอเมเจอร์ลีก ที่สุดท้ายยังยืนกรานส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ผลงานจะออกมาเป็นอย่างไรต้องมารอลุ้นกัน

จากนั้นเราขึ้นไปดู 2 ทีมจากเหนือสุดแดนสยามอย่าง เชียงราย ซิตี้ ทีมเล็กๆที่อยู่ยงมาตั้งแต่ยังเป็นลีกภูมิภาคเดิม จนถึงตอนนี้ที่ยังไม่หนีไปไหน กับ เชียงราย ล้านนา ที่พึ่งก้าวขึ้นมาลิ้มลองลีกอาชีพได้ราว 1-2 ปีแล้ว อย่างไรเสีย 2 ทีมจากเมืองเจียงฮาย ก็คงตั้งหมายในการหนีตกชั้นเท่านั้น เช่นเดียวกับ 2 ทีมจากเมืองตาก อย่าง นอร์ทเทิร์น ตาก ยูไนเต็ด และ นครแม่สอด ยูไนเต็ด ที่ขอใช้สิทธิ์พักทีมแล้วกลับมาแข่งใหม่ในฤดูกาลนี้ ซึ่งผลงานก็คงไม่หนีกัน คือ ขอหนีตายให้รอดก็พอ

  ส่วน 2 ทีมจากเมืองสองแคว ก็ไม่น้อยหน้า เริ่มจาก วัดโบสถ์ ซิตี้ ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ให้เห็นในเวทีไทยลีก 4 ส่วนในปีนี้อาจไม่ได้มีเงินทุนมาก แต่ก็เชื่อว่าหนูนาจอมโหดจะเกาะกลุ่มหัวตารางได้ ขณะที่ พิษณุโลก เอฟซี ปีนี้ดูจริงจังกับการเสริมตัวผู้เล่น ฉะนั้นเป้าหมายเดียวที่ต้องทำ คือ ติดอันดับ 1-2 ของโซนเพื่อลุ้นเลื่อนชั้นเท่านั้น

   สุดท้ายของจบที่ อุทัยธานี เอฟซี ที่พึ่งตกชั้นลงมาจากไทยลีก 2 โดยจาการเสริมทัพแบบโคตรโหดไม่ปราณีใคร ก็คงเดาไม่อยากว่าทีมมีเป้าหมายเดียว คือ การกลับไปสู่ลีกรองให้ได้ในปีเดียว แต่ในรอบโซนจะจบในฐานะแชมป์ หรือรองแชมป์ ก็คงต้องวัดกับขุนพลนเรศวร

  ติดตามข่าวสารใหม่ได้ที่ livethaileague.com